ທ່ານຄິດວ່າ ຄໍ່າທໍານາຍດັ່ງກ່າວເປັນເລື່ອງຈີງຫລືບໍ່?
ຖ້າວິທະຍາສາດບໍ່ສູງ ອາດຈະເປັນດັ່ງຄໍາທໍານາຍເພາະປີກາຍນີ້ມີລູກຫີນອຸບາດຕົກລົງມາໃສ່ໜ້າໂລກຫຼາຍ
ກ້ອນ ມີແຕ່ກ້ອນໃຫຍ່ໆ ແຕ່ລັດເຊັຽຮ່ວມມືກັບອາເມຣິກັນໃຊ້ແສງເລເຊີຍູ້ກ້ອນຫີນອຸບາດເຫຼົ່່ານັ້ນໃຫ້ໄປຕົກ
ຢູ່ບ່ອນອື່ນ.
http://www.bbc.co.uk/news/science-environment-15572634
KPS wrote:ທ່ານຄິດວ່າ ຄໍ່າທໍານາຍດັ່ງກ່າວເປັນເລື່ອງຈີງຫລືບໍ່?
ມັນບໍ່ແມ່ນຄຳທຳນາຍ ທີ່ເປັນຈິງເປັນຈັງ ແລະເປັນລາຍລັກອັກສອນໃດໆ ແຕ່ມັນແມ່ນກົນລະ ຍຸດຂອງນັກເຜີຍແຜ່ສາດສະໜາໜຶ່ງ ເພື່ອຫຼອກໃຫ້ຄົນ ໄປເຂົ້າສາດສະໜາຂອງເຂົາ ເປົ້າໝາຍແມ່ນເນັ້ນໃສ່ກຸ່ມໄວໜຸ່ມ ພວກນີ້ຈະມີຄວາມ ຕື່ນຕົວແລະເຊື່ອໄວ ແລ້ວກໍເອົາພວກນີ້ໄປອົມຮົມ ເພື່ອໃຫ້ລອດຈາກໄພພິບັດນີ້ ຂັ້ນຕອນໃນການອົບຮົມນັ້ນ ໃຜເຄີຍປະສົບພົບພໍ້ແຕ່ ເຊີນເລົ່າປະສົບການໃຫ້ໝູ່ຟັງແນ່.
ມັນເປັນໄປບໍ່ໄດ້ດອກທີ່ໂລກຈະແຕກໃນປີ 2012 ນັ້ນເປັນຄຳທຳນາຍ ແຕ່ໃນຄວາມເປັນຈິງແລ້ວ ມັນອາດຈະມີໄພທຳມະຊາດ ທີ່ຮ້າຍແຮງເພີ້ມຂີ້ນກວ່າເກົ່າ ຄົນໃນໂລກບາງປະເທດຈະມີຄວາມອຶດຢາກຫຼາຍກວ່າເກົ່າ ບັນຫາທາງດ້ານເສດຖະກິດ ການເມືອງ ມີຂໍ້ຄັດແຍ້ງ ເຮັດໃຫ້ຄົນທົ່ວໂລກມີບັນຫາເພີ້ມຂີ້ນ ນີ້ແຫຼະຄືໂລກແຕກຂອງແທ້
Anonymous wrote:ມັນເປັນໄປບໍ່ໄດ້ດອກທີ່ໂລກຈະແຕກໃນປີ 2012 ນັ້ນເປັນຄຳທຳນາຍ ແຕ່ໃນຄວາມເປັນຈິງແລ້ວ ມັນອາດຈະມີໄພທຳມະຊາດ ທີ່ຮ້າຍແຮງເພີ້ມຂີ້ນກວ່າເກົ່າ ຄົນໃນໂລກບາງປະເທດຈະມີຄວາມອຶດຢາກຫຼາຍກວ່າເກົ່າ ບັນຫາທາງດ້ານເສດຖະກິດ ການເມືອງ ມີຂໍ້ຄັດແຍ້ງ ເຮັດໃຫ້ຄົນທົ່ວໂລກມີບັນຫາເພີ້ມຂີ້ນ ນີ້ແຫຼະຄືໂລກແຕກຂອງແທ້
ມັນບໍ່ເປັນໃນປີ 2012ນີ້ດອກ ແຕ່ໃນອະນາຄົດມີຄວາມເປັນໄປໄດ້ແນ່ນອນ ໃຫ້ເຂົ້າໃຈວ່າໂລກນີ້
ມີທຸກຢ່າງທີ່ມະນຸດບໍ່ເຂົ້າໃຈແລະດື້ດ້ານທາງກົງແລະທາງອ້ອມໃນການທຳລາຍທຳມະຊາດພູຜາປ່າໄມ້
ໂດຍບໍ່ຄຳນຶງຜົນເສັຍຫາຍຈະຕາມມາ ໂດຍສະເພາະລາວ,ຂເມນແລະໄທ ຈະໄດ້ຮັບຜົນຮ້າຍກ່ອນໝູ່
ທັງໝົດນີ້ຝາກເຖິງຄົນລາວແຕ່ເທິງຮອດລຸ່ມເປັນຂໍ້ໂຈດຈະແກ້ໄຂແນວໃດຈຶ່ງຈະລອດ
Anonymous wrote:Anonymous wrote:ມັນເປັນໄປບໍ່ໄດ້ດອກທີ່ໂລກຈະແຕກໃນປີ 2012 ນັ້ນເປັນຄຳທຳນາຍ ແຕ່ໃນຄວາມເປັນຈິງແລ້ວ ມັນອາດຈະມີໄພທຳມະຊາດ ທີ່ຮ້າຍແຮງເພີ້ມຂີ້ນກວ່າເກົ່າ ຄົນໃນໂລກບາງປະເທດຈະມີຄວາມອຶດຢາກຫຼາຍກວ່າເກົ່າ ບັນຫາທາງດ້ານເສດຖະກິດ ການເມືອງ ມີຂໍ້ຄັດແຍ້ງ ເຮັດໃຫ້ຄົນທົ່ວໂລກມີບັນຫາເພີ້ມຂີ້ນ ນີ້ແຫຼະຄືໂລກແຕກຂອງແທ້ ມັນບໍ່ເປັນໃນປີ 2012ນີ້ດອກ ແຕ່ໃນອະນາຄົດມີຄວາມເປັນໄປໄດ້ແນ່ນອນ ໃຫ້ເຂົ້າໃຈວ່າໂລກນີ້ມີທຸກຢ່າງທີ່ມະນຸດບໍ່ເຂົ້າໃຈແລະດື້ດ້ານທາງກົງແລະທາງອ້ອມໃນການທຳລາຍທຳມະຊາດພູຜາປ່າໄມ້ໂດຍບໍ່ຄຳນຶງຜົນເສັຍຫາຍຈະຕາມມາ ໂດຍສະເພາະລາວ,ຂເມນແລະໄທ ຈະໄດ້ຮັບຜົນຮ້າຍກ່ອນໝູ່ ທັງໝົດນີ້ຝາກເຖິງຄົນລາວແຕ່ເທິງຮອດລຸ່ມເປັນຂໍ້ໂຈດຈະແກ້ໄຂແນວໃດຈຶ່ງຈະລອດ
ສະແດງວ່າບັນດາພໍ່ຄ້າໜ້າເລືອດ ສ້າງກຳທຳເຂັນໃຫ້ຄົນທັງໂລກ ທັງປະເທດແລ້ວຕິ
ເອົາໂທດກັບລັດຖະບານທີ່ສໍ້ລາດບັງຫລວງໄດ້ແລ້ວ ປົດມັນລົງ,ໄລ່ມັນໜີ ແລ້ວເລືອກເອົາຄົນ
ລຸ້ນໃໝ່ທີ່ເປັນຄົນດີມາປົກຄອງບ້ານເມືອງ
ເລກ 12 ເປັນເລກງາມແລະສາມາດຫານໃຫ້ 1 ຫານໃຫ້ 2 ຫານໃຫ້ 3 ຫານໃຫ້ 4 ຫານໃຫ້ 6 ແລະຫານ
ໃຫ້ 12 ໄດ້. ຢຸ່ໃນໜ່ວຍໂມງເພິ່ນກໍ່ເຮັດຮອດແຕ່ເລກ 12 ແລະໃນປະຕິທິນປີນຶ່ງເພິ່ນກໍ່ເຮັດຮອດແຕ່ 12
ເດືືອນ. ສໍາລັບນັກພະນັນ ເລກ 12 ເປັນເລກທີ່ນໍາໂຊກ, ຖ້າຜູ່ໃດ໋ມັກຫຼິ້ນໝາກປິ່ນ Roulette ຈະສັງເກດ
ເຫັນວ່າເລກທີ່ມັກອອກເລື້ອຍຈະເປັນສ່ວນຄູນຂອງເລກ 12.
ກົດບ່ອນນີ້ຖ້າສົນໃຈຢາກຮູ້ວ່າເລກ 12 ມີສ່ວນກ່ຽວ
ຂ້ອງຫຍັງແດ່ໃນການດໍາລົງຊີວິດປະຈໍາວັນຂອງພວກເຮົາ. ສໍາລັບຂ້ອຍກັບແມ່ເດັກນ້ອຍຈະຜະລິດສະມາຊິກຄອບຕື່ມອີກຜູ່ນຶງໃນວັນທີ
12 ເດືອນ 12 ປີ 2012 ເວລາ 12 ໂມງກາງຄືນ 12 ນາທີແລະ 12 ວິນາທີ.
ວັນເກີດຂ້ອຍເອງ ຄືເໝາະເຈາະ ແທ້ລະ 555555
Anonymous wrote:ວັນເກີດຂ້ອຍເອງ ຄືເໝາະເຈາະ ແທ້ລະ 555555
Anonymous wrote:Anonymous wrote: ວັນເກີດຂ້ອຍເອງ ຄືເໝາະເຈາະ ແທ້ລະ 555555 ເກີດວັນນີ້ມີແວວໄດ້ເຂົ້າໄປນັ່ງຫໍຄໍາ.
Anonymous wrote: ວັນເກີດຂ້ອຍເອງ ຄືເໝາະເຈາະ ແທ້ລະ 555555
ເກີດວັນນີ້ມີແວວໄດ້ເຂົ້າໄປນັ່ງຫໍຄໍາ.
ເປັນຫຍັງຄືເວົ້າຊັ້ນລະ ອາວ?
คำทำนายวันสิ้นโลก หรือวันโลกแตก ในปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555 นี้ ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ทำให้โลกต้องเผชิญกับธรรมชาติที่กลายเป็นภัยพิบัติรุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้น ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความกังวลและตื่นตระหนกว่าคำทำนายดังกล่าวอาจเป็นจริง
เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับข่าวลือดังกล่าว องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. จัดเสวนาเรื่อง “โลกาวินาศ ฟังวิทยาศาสตร์วิพากษ์พยากรณ์ 2012 ฤาโลกจะสูญสิ้น” ขึ้น
โดย ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการ จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอกถึงที่มาของการวิพากษ์วิจารณ์และความวิตกกังวลเรื่องโลกแตกในปี ค.ศ. 2012 ว่า น่าจะมาจาก 5 เรื่อง หลัก ๆ เรื่องแรกก็คือ หนังสือเดอะ มายา ซึ่งเปิดประเด็นเรื่องมหาหายนะในปี ค.ศ. 2012 โดยเชื่อมโยงวันสิ้นโลกเข้ากับวันสุดท้ายในปฏิทินโบราณของชาวมายา ซึ่งตรงกับวันที่ 21 ธันวาคม 2555 พอดี ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงความเชื่อในเรื่องตำนานการสร้างโลกของชาวมายา และการเปลี่ยนแปลงตามคำทำนายดังกล่าวก็มีทั้งด้านดีและไม่ดี เพียงแต่เรื่องร้ายมักจะกล่าวถึงกันมากกว่า
เรื่องต่อมา คือ ดาวนิบิรุ (Nibiru) จะพุ่งชนโลก หากดาวดังกล่าวมีจริง จากการวิเคราะห์วงโคจรทางฟิสิกส์ ซึ่งเป็นวงรี แล้วพบว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ดาวดวงนี้จะมาชนโลก
ส่วนเรื่องที่ 3 คือการเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ ซึ่งเรามักได้ยินข่าวอยู่เสมอ ทฤษฎีนี้ ดร.บัญชา บอกว่า มีการกล่าวอ้างกันมากว่าการเรียงตัวของดาวจะทำให้เกิดแรงดึงดูดมหาศาลทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงรวมถึงเกิดพายุสุริยะอย่างรุนแรง ซึ่งจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงเพราะอิทธิพลของแรงดึงดูดจากดาวเคราะห์เหล่านั้นมีผลต่อโลกน้อยมากเมื่อเทียบกับแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่มีต่อโลก
สำหรับเรื่องที่ 4 คือเรื่องพายุสุริยะ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แต่มีคาบการเกิดที่จะมีความรุนแรงเฉลี่ยประมาณ 11 ปี ซึ่งบังเอิญมาอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 2012-2013 พอดี จึงถูกโยงเข้ากับทฤษฎีโลกแตกไปด้วย แต่เชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญหาบ้างก็คือดาวเทียมสื่อสารที่อาจได้รับความเสียหาย หากไม่มีการเตรียมความพร้อมในการรับมือและเรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องการสลับขั้วของแม่เหล็กโลก ซึ่งปกติสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดจากการเลื่อนไหลของโลหะที่หลอมเหลวใต้โลก มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้เชื่อทฤษฎีโลกแตกจึงกลัวกันว่าหากโลก อยู่ในช่วงที่สนามแม่เหล็กกำลังเปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนขั้ว อาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงไปด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ ดร.บัญชา อธิบายว่า นักธรณีวิทยาได้พบหลักฐานว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการพลิกกลับขั้วอยู่เป็นระยะมาโดยตลอด ซึ่งการคงสภาพขั้วไว้ได้นั้น อาจต้องใช้เวลานาน 1 แสน ถึง 10 ล้านปี ซึ่งปัจจุบันมีการยืนยันแล้วว่าการกลับขั้วเคยเกิดขึ้นแล้ว 2 ช่วง แต่ระยะเวลาในการเปลี่ยนขั้วต้องใช้เวลานานมากตั้งแต่ 1พัน ถึง 1 หมื่นปีทีเดียว และเป็นการสลับแบบขั้วเดิมอ่อนกำลังลงขั้วใหม่ค่อย ๆ ผุดขึ้นแทนที่จนครบสมบูรณ์
ด้าน ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการ สดร. บอกว่า คำกล่าวอ้าง หรือข่าวลือต่าง ๆ มักจะพยายามหาเหตุผลที่ทำให้คนเชื่อ ซึ่งปัจจัยภายนอกโลกหรือเรื่องทางดาราศาสตร์ ที่เป็นปรากฏการณ์ขนาดใหญ่และมีอานุภาพรุนแรงพอที่จะทำลายโลกได้ ประกอบกับสามารถคำนวณการเกิดได้อย่างแม่นยำ จึงมักถูกนำมาเชื่อมโยงเสมอ
อย่างเช่นข้ออ้างเกี่ยวกับนิบิรุ ซึ่งบอกว่าเป็นดาวเคราะห์ที่ค้นพบโดยชาวสุเมเรียน เมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล วงโคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลา 3,600 ปี และจะพุ่งชนโลกในเดือนธันวาคม 2555 มีวงโคจรเป็นวงรีมาก ซึ่งปัจจุบันหากนิบิรุมีจริง จะต้องอยู่ใกล้เคียงวงโคจรของดาวพฤหัสบดีและสว่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีการค้นพบดาวดวงนี้
ส่วนกรณีที่ดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลกโดยมีการกล่าวอ้างว่าองค์การนาซาปกปิดนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันหลายโครงการทั่วโลกที่ค้นหาและติดตามวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่า 200 เมตร ที่มีวงโคจรเข้าใกล้โลกไม่เกิน 4.5 ล้านไมล์ ซึ่งมีการค้นพบวัตถุเหล่านี้แล้วมากกว่า 1,000 วัตถุทั้งนี้จากการค้นพบดาวเคราะห์น้อยที่มีโอกาสจะพุ่งเข้าชนโลกมากที่สุดคือดาวเคราะห์น้อย 1950 DA ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงวงโคจร จะพุ่งเข้าชนโลกในวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ.3423 หรืออีกกว่า 800 ปีข้างหน้า และมีโอกาสชนเพียง 0.33% เท่านั้น ซึ่งด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าทำให้ยังพอมีเวลาในการเตรียมรับมือสำหรับคำกล่าวอ้างว่าโลกจะถูกหลุมดำที่ใจกลางทางช้างเผือกดูดเข้าไปในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ยืนยันว่า จากการศึกษาการโคจรของดาวฤกษ์หลายดวงรอบหลุมดำต่าง ๆ ประกอบกับแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อโลก สูงกว่าแรงโน้มถ่วงของหลุมดำถึง 100,000 ล้านเท่า ทำให้โลกจะไม่ถูกหลุมดำนี้ดูดเข้าไปแน่นอนทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ ต่างบอกว่า ไม่เคยมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หรือการค้นพบใด ๆ ที่พอเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าโลกจะแตกในปี ค.ศ. 2012 เพราะนั่นคือความเชื่อที่สามารถหักล้างได้ด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยลดความตื่นตระหนกของประชาชนได้
ฝากไว้สำหรับข่าวลือน้ำท่วมกรุงเทพฯเพราะน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ดร.พิชัย สนแจ้ง ผอ.อพวช. บอกว่า ขณะนี้ต้องคิดดูว่า น้ำท่วมกรุงเทพฯ จากน้ำแข็งขั้วโลกละลายกับน้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะการขุดเจาะน้ำบาดาลไปใช้เป็นจำนวนมาก จนทำให้แผ่นดินทรุด อย่างไหนใกล้ตัวและน่ากลัวกว่ากัน