Pasalao

Members Login
Username 
 
Password 
    Remember Me  
Post Info TOPIC: ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ
ສາຍເຊລຳເພົາ(ເຂົ້າມາຢາມ)

Date:
ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ


ເມື່ອປີ 2003 ການສຳຫຼວດພົບວ່າ ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ, (ອ່ານຂໍ້ມູນລຸ່ມນີ້ ເພື່ອສັງເກດ)
เมื่อกันยายน 2546 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจการอ่านหนังสือของคนไทย พบคนไทย
อ่านหนังสือ 35.5 ล้านคน ขณะที่มีผู้ไม่อ่านหนังสือ 22.4 ล้านคน หรือเกือบ 40%

ผู้ไม่อ่านหนังสือ 22.4 ล้านคน เป็นเพศชาย 10.1 ล้านคน และเพศหญิง 12.3 ล้านคน
เหตุที่ไม่อ่านเพราะชอบฟังวิทยุ ดูทีวีมากกว่า ขณะที่เด็กอายุ 10-14 ปี ระบุชัดว่าไม่ชอบอ่าน และ
ไม่สนใจถึงกว่า 60%

ส่วนผู้อ่านหนังสือ 25.4 ล้านคน มีสัดส่วนของการอ่านหนังสือพิมพ์สูงที่สุด 66% รองลงมาคือ
อ่านนวนิยาย-การ์ตูน-หนังสืออ่านเล่น 44.6% และอ่านตำราเรียนตามหลักสูตร 40%

หากเทียบคนไทยกับต่างประเทศแล้วมีเพียงแค่ 5 เล่มต่อคนต่อปี นี่ยังไม่คิดถึงมาตรฐานความหนาบาง
ขนาดรูปเล่ม
สิงคโปร์ อ่าน 17 เล่มต่อคนต่อปี และสหรัฐอเมริกา 50 เล่มต่อคนต่อปี 

จากการสำรวจของยูเนสโกพบว่า คนไทยบริโภคกระดาษเพียง 13.1 ตันต่อปี ต่อ 1,000 คน
หากเปรียบเทียบกับคนสิงคโปร์หรือฮ่องกงแล้ว บริโภคถึง 98 ตันต่อปีต่อ 1,000 คน

ส่วนสถิติการใช้ห้องสมุดพบคนไทยต่ำกว่า 3% เข้าห้องสมุดประชาชน 1 ครั้ง 1 ปี และ
ต่ำกว่า 1% เป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน ทั้งประเทศเป็นสมาชิกห้องสมุดเพียง 420,000 คนเท่านั้น

ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ Positioning Magazine เดือนตุลาคม 2548 สำรวจพบว่า

คนไทยจำนวน 59.2 ล้านคน มีผู้อ่านหนังสือประมาณ 69.1% จำแนกเป็นชาย 51.1% และหญิง 48.5%
และจำนวน 59.2 ล้านคนนี้มีผู้ไม่อ่านหนังสือ 30.9% แยกเป็นชาย 28.4% และหญิง 33.3%

เฉพาะที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 สำรวจนักเรียนจำนวน 13,291 คน
อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รักการอ่าน และคิดไม่เป็น ร้อยละ 12

มหกรรมนักอ่าน ที่กระทรวงศึกษาธิการอุตส่าห์ลงทุนลงแรงจัดขึ้นในศูนย์แสดงสินค้าใหญ่ กทม.
เพื่อส่งเสริมนิสัยรักการเพิ่งจบไปนั้น ต้องขอบคุณนักวิจัยและข้อมูลทั้งหลาย ที่ต่างชี้ตรงกันว่าคนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ
โดยจากสถิติคนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อคนต่อปีเท่านั้น

จบมหกรรมนักอ่านนี้แล้ว หวังว่าคนไทยอ่านหนังสือมากกว่า 12 บรรทัดต่อคนต่อปีตามที่ตั้งเป้าไว้

ປັດຈຸບັນນີ້ ມີການສຳຫຼວດອີກພົບວ່າ ໄທຍ໌ໄດ້ສະຖີຕິໃໝ່ ແລະພັດທະນາຂຶ້ນຕາມລຳດັບ ເຖິງວ່າ ມັນເປັນສະຖີຕິນ້ອຍ ແຕ່ແນວໂນ້ມການອ່ານໜັງສືຂອງຄົນໄທຍ໌ເພີ່ມຂຶ້ນ (ອ່ານຂໍ້ມູນລຸ່ມນີ້)
สสส.ร่วมกับสมาคมผู้จัด พิมพ์ฯ สำรวจสถิติพบ คนไทยอ่านหนังสือแค่ปีละ 2 เล่ม ควักเงินซื้อหนังสือ แค่ 260 ต่อปี น้อยกว่าประเทศอื่นๆ หลายเท่า แม้แต่คู่แข่งอย่างเวียตนามยังอ่าน หนังสือประมาณปีละ 60 เล่ม
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายก รัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 12 ระหว่างวัน ที่ 17-28 ต.ค.จัดโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศ ไทย (ส.พ.จ.ท.) โดย นายกฯ กล่าวในระหว่างเป็นประธานเปิดงานว่า โดยส่วนตัวเห็น ว่า การให้ความรู้คนเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด และถือว่า การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์เป็นงานที่สำคัญกว่าการพัฒนาทรัพยากรอื่น ๆ ของประเทศ โดยจะต้องพัฒนาคน ให้มีคุณภาพใน 2 ส่วน คือ มีความรู้ทั่วไป ซึ่งก็ คือ ความรู้ในการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพและทำมาหากิน อีกส่วนคือ การพัฒนาด้านจิตใจ ซึ่งมักถูกมองข้ามในโลก ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเช่นปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการ จัดการศึกษา แต่กว่าที่การจัดการศึกษาของประเทศไทยจะได้มาตรฐานอย่างน้อยกินเวลา อีก 5 - 10 ปี จึงจะปรับปรุงขึ้นมาทัดเทียมกับประเทศคู่แข่ง ได้ แต่จริงๆ แล้ว การศึกษาใน ระบบโรงเรียนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาทั้งหมด ยังมีรูปแบบการจัดการศึกษาอื่นๆ อีก ซึ่งทุกฝ่ายสามารถมามีส่วนร่วม ช่วยพัฒนาในส่วนนี้ได้ ซึ่งรัฐบาลยินดีสนับสนุนภาคเอกชนให้ผลิตสื่อ หนังสือที่ หลากหลาย มีคุณภาพ ออกมาเพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้ความรู้แก่คนในสังคม เพื่อให้ สังคมไทยเป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา

ด้านนางริสรวล อร่ามเจริญ นายก ส.พ.จ.ท. กล่าวว่า มหกรรม หนังสือระดับชาติครั้งนี้ มี สำนักพิมพ์เข้าร่วมมากที่สุดถึง 408 สำนักพิมพ์ ออกบูธ 819 บูธ ซึ่งถือว่า มี จำนวนบูธมากที่สุดตั้งแต่จัดงานมา และคาดว่า จะมีประชาชนมาเที่ยวชมงานไม่ต่ำ กว่า 1.2 ล้านคน ทั้งนี้มหกรรมฯครั้งนี้ ได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี 2550 จึงได้นำหลัก การทรงงานของในหลวง 23 ประการ มาจัดเป็นนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับ รู้ถึงแนวคิดหลักการทรงงานของพระองค์ พร้อมทั้งจัดพิมพ์โปสเตอร์หลักการทรงงาน ของในหลวงจำนวน 100,000 แผ่น มาแจกประชาชนที่มาร่วมงานด้วย โดนแจกในงาน 50,000 แผ่น และเผยแพร่ให้ประชาชนผ่านร้านหนังสือที่เข้าร่วมโครงการมหกรรมหนังสือทั่ว ประเทศอีก 50,000 แผ่น

อย่างไรก็ตาม แม้ ว่า ธุรกิจ หนังสือมีอัตราการเจริญเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 นับตั้งแต่ปี 2546 -2549 แต่ ปัจจุบันมีหนังสือใหม่ที่เข้าสู่ร้านหนังสือแค่ 934 เรื่องต่อเดือน เป็นอัตรา ที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว 5-10 เท่า อย่าง ประเทศไต้หวันที่มีหนังสือออกสู่ตลาด มากสุด มีหนังสือใหม่ถึงเดือนกว่าเกือบ 10,000 รายการ ยังไม่คิดถึงว่า หนังสือ บางรายการมียอดพิมพ์และจำหน่ายได้มีมาก

นอกจากนั้น สมาคมฯ ได้ร่วมกับสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) สำรวจข้อมูลจากในกทม.และตัวเมืองใหญ่ พบว่า คน ไทยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือปีละแค่ 2 เล่ม ใช้เงินซื้อหนังสือต่อคนปีละ ประมาณ 260 บาท ซึ่งถือว่า น้อย มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างประเทศสิงคโปร์ มีสถิติคนอ่านหนังสือประมาณ 40-50 เล่มต่อปี หรืออย่าง เวียตนามคู่แข่งของประเทศไทย อ่านหนังสือประมาณ 60 เล่มต่อปี

นางริสรวล กล่าว ต่อว่า สาเหตุที่คนไทยอ่าหนังสือแค่ปี ละ 2 เล่ม นั้น ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยชอบฟัง ดู มากกว่าอ่าน ประกอบการกับขยายตัวของธุรกิจบันเทิงทั้งโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต เกมคอมพิวเตอร์ และสถานบันเทิงต่าง ๆ มาช่วงชิงเวลาอ่านหนังสือของคนไทยไป ดังนั้น ภาครัฐจึงควรมีนโยบายสนับสนุนสำนักพิมพ์ในประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ให้ ผลิตหนังสือที่หลากหลายและจำเป็นในสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมการอ่านอย่าง จริงจังด้วย ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับเครือข่าย 32 องค์กร ยื่นหนังสือเรียกร้อง ให้รัฐบาลประกาศวาระชาติในเรื่องการอ่านหนังสือ โดยมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกฯ เป็นผู้แทนมารับหนังสือเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ ผ่านมา ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“เราต้องการให้รัฐบาลรีบประกาศให้ การอ่านเป็นวาระชาติ และตั้งกรรมการระดับชาติขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ และให้นำดัชนี การอ่านมาเป็นประกอบกับ GDP ในการชี้วัดการเจริญเติบโตของ ประเทศด้วย เพราะการเจริญเติบโต ของประเทศจะยั่งยืนได้ ต้องมีคุณภาพทางปัญญาด้วย และให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้ หน่วยงานส่งเสริมการอ่านอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้รัฐร่วมกับภาคเอกชน พัฒนาระบบ การอ่านสาธารณะ โดยปรับปรุงห้องสมุดต่าง ๆ ที่มีอยู่ และให้ทุกองค์กร รวมทั้ง สถานประกอบการที่มีจำนวนคนงานมากพอสมควร จัดตั้งห้องสมุดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการ อ่าน นอกจากนั้น รัฐบาลควรใช้สำนักพิมพ์ฯมาช่วยในการพัฒนาคนไทยในอนาคตให้มี คุณลักษณะตรงตามที่ต้องการ โดยให้นักวิชาการไปวิจัยมาว่า เราต้องการพลเมืองที่ มีคุณสมบัติความสามารถใดบ้าง หรือคนไทยมีจุดอ่อนด้านใดอยู่ แล้วส่งข้อมูลดัง กล่าวให้สำนักพิมพ์ฯ ช่วยกันผลิตหนังสือมาลบจุดอ่อนคนไทย และขับเคลื่อนให้คนไทย มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ” นางริสรวล กล่าว

ข้อมูลจาก : สำนักข่าวเนชั่น , สสส. www.thaihealth.or.th
- ເມື່ອອ່ານບົດຄວາມສອງບົດຈົບລົງແລ້ວ ເຫັນວ່າການອ່ານໜັງສືຂອງຄົນໄທຍ໌ ມີການຂະຫຍາຍຕົວຂຶ້ນ, ແຕ່ເມື່ອທຽບມໃສປະເທດສິງກະໂປ ແລະຫວຽດນາມແລ້ວ ແມ່ນເປັນສະຖີຕິນ້ອຍທີ່ສຸດ. ແຕ່ກໍຍັງດີ ຈາກປີ 2003 ຫາ ປີ 2006 ມີພຽງ 3 ປີເທົ່ານັ້ນ ຄົນໄທຍ໌ສາມາດພັດທະນາການອ່ານໄວປານນັ້ນ ຍົກມືໃຫ້.
- ແຕ່ວ່າ ເມື່ອມາເບິ່ງເບື້ອງຂອງປະເທດລາວເຮົານັ້ນ ບໍ່ມີສະຖີຕິຂອງການອ່ານໜັງສື ຕິດອັນດັບກັບເຂົາເລີຍ.
- ແລ້ວຄົນລາວເຮົາ ຊິພັດທະນາໄດ້ຈັ່ງໃດ ເມື່ອບໍ່ມັກອ່ານໜັງສືລະ ?
- ທາງໄທຍ໌ ເຂົາສະຫຼຸບອອກມາວ່າ ເຫດທີ່ຄົນໄທຍ໌ບໍ່ມັກອ່ານໜັງສື ເພາະ
ກ. ເບິ່ງທີວີ ແລະຟັງວິທະຍຸ.
- ຄົນລາວເຮົາ ສ່ວນຫຼາຍກໍອາດເຊັ່ນກັນ ຄື ເບິ່ງທີວີ ແລະວິທະຍຸ ແຕ່ວ່າ ລາວເຮົານັ້ນ ພັດເບິ່ງທີວີຂອງໄທຍ໌ ແລະຕ່າງປະເທດ ແລະຟັງວິທະຍຸໄທຍ໌ຫຼາຍກວ່າ ຄັນມັນເປັນຈັ່ງ ຊີ້ ນິໄສຄົນລາວ ຈະເປັນຈັ່ງໃດ ? (ຫ້າມກຽດໂຕກິນນໍ້າເດັດຂາດ ອິອິອິ)

(ບົດຄວາມນີ້ ເປັນບົດປຽບທຽບເພື່ອການສຶກສາເທົ່ານັ້ນ ບໍ່ໄດ້ມີຈຸດປະສົງອື່ນໃດເລີຍ)


__________________
Anonymous

Date:


ຄົນລາວອ່ານຍັງບໍ່ທັນຮອດແຖວກໍ່ເລີກອ່ານແລ້ວ

ຢາກໃຫ້ເພິ່ນອ່ານ ຕ້ອງເອົາຂອງມາລໍ້ ເຊັ່່ນ

ເອົາຮູບຜູ້ສາວເຊັກຊີ້ມາໃສ່ໜ້າປົກ ແລະອື່ນໆ


__________________
Anonymous

Date:

ຄົນບ້ານເຂົາຈະອ່ານຫຼາຍໜ້ອຍບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ, ສີ່ງໃດທີ່ບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ
ບໍ່ຄວນໄປຫຍຸ້ງເຂົາ. ບ້ານໃຜບ້ານມັນ,​ເຂົາເອົາເຮົາໄປວິຈານເຮົາຍັງບໍ່ມັກ, ບໍ່ມັກອັນໃດກໍ່ຢ່າໄປເຮັດຈັ່ງຊັ້ນ.


__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

ຄົນບ້ານເຂົາຈະອ່ານຫຼາຍໜ້ອຍບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ, ສີ່ງໃດທີ່ບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ
ບໍ່ຄວນໄປຫຍຸ້ງເຂົາ. ບ້ານໃຜບ້ານມັນ,​ເຂົາເອົາເຮົາໄປວິຈານເຮົາຍັງບໍ່ມັກ, ບໍ່ມັກອັນໃດກໍ່ຢ່າໄປເຮັດຈັ່ງຊັ້ນ.



ແນວຄິດແບບນັ້ນ ເປັນແນວຄິດຂ້າທາດ ຂາດສະຕີ ບໍ່ຊັ່ງຊາເຫດຜົນ ຄົນບໍ່ອ່ານໜັງສື ແລ້ວປານໃດຊິສະຫຼາດ ບາດເຂົາເວົ້າມາບໍ່ມີທາງແກ້ ເພາະຕົນໂຕໂງ່, ບໍ່ມີຄໍາຈະຕອບເຂົາ ເພາະບໍ່ສຶກສາຮໍ່າຮຽນ

- ອະໄພນໍາພີ່ນ້ອງລາວທັງມວນ ທີ່ສະຫຼາດກວ່າ ເວົ້າສະເພາະຄົນປັນຍາຕຶຶບເທົ່ານັ້ນ ທັງເຈົ້າຂອງເວບນີ້ດ້ວຍ, ຄັນບໍເຕືອນແນ່ ປ່ອຍໃຫ້ພວກບໍ່ຮູ້ຈັກພາສາລາວ ເຂົ້າມາໂຕ້ຕອບດ້ວຍພາສາແບບບໍ່ງາມ ນອກຈາກເປັນການທຳລາຍຊື່ສຽງຂອງເວບແລ້ວ ຍັງທຳລາຍວັດທະນະທຳທາງພາສາທີ່ດີງາມຂອງລາວ ແລະຊາດລາວອີກຊໍ້າ ຕ້ອງຊ່ວຍກັນສັ່ງສອນພວກ ທີ່ໃຊ້ພາສາລາວບໍ່ເປັນ ບໍ່ຮູ້ເຖິງແກ່ນແທ້ ຂອງພາສາລາວ ບໍ່ໃຫ້ມາໃຊ້ພາຊັ້ນຕໍ່າ ແລະຕໍ່ຕ້ານພາສາສະກຸນລາວທີ່ດີງາມນີ້
- ຂໍອະນຸຍາດ ນຳເຈົ້າຂອງເວບ
- ແລະຖາມພວກທີ່ອ້າງອັນນີ້ວ່າ ພາສາໄທພາສາລາວ ພວກນັ້ນເຂົາຮູ້ພາສາ ແລະປະຫວັດສາດຊາດລາວ ຫຼາຍພຽງໃດ.
(ຄຳຕອບນີ້ ຂໍອະນຸຍາດຢ່າລຶບ ໃຫ້ປະໄວ້ ກ່ອນຈັກ 2 ເດືອນ ແລ້ວຈຶ່ງລຶບຄຳຕອບນີ້ຖິ້ມສາ)



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

ຄົນບ້ານເຂົາຈະອ່ານຫຼາຍໜ້ອຍບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ, ສີ່ງໃດທີ່ບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ
ບໍ່ຄວນໄປຫຍຸ້ງເຂົາ. ບ້ານໃຜບ້ານມັນ,​ເຂົາເອົາເຮົາໄປວິຈານເຮົາຍັງບໍ່ມັກ, ບໍ່ມັກອັນໃດກໍ່ຢ່າໄປເຮັດຈັ່ງຊັ້ນ.



ແນວຄິດແບບນັ້ນ ເປັນແນວຄິດຂ້າທາດ ຂາດສະຕີ ບໍ່ຊັ່ງຊາເຫດຜົນ ຄົນບໍ່ອ່ານໜັງສື ແລ້ວປານໃດຊິສະຫຼາດ ບາດເຂົາເວົ້າມາບໍ່ມີທາງແກ້ ເພາະຕົນໂຕໂງ່, ບໍ່ມີຄໍາຈະຕອບເຂົາ ເພາະບໍ່ສຶກສາຮໍ່າຮຽນ

- ອະໄພນໍາພີ່ນ້ອງລາວທັງມວນ ທີ່ສະຫຼາດກວ່າ ເວົ້າສະເພາະຄົນປັນຍາຕຶຶບເທົ່ານັ້ນ ທັງເຈົ້າຂອງເວບນີ້ດ້ວຍ, ຄັນບໍເຕືອນແນ່ ປ່ອຍໃຫ້ພວກບໍ່ຮູ້ຈັກພາສາລາວ ເຂົ້າມາໂຕ້ຕອບດ້ວຍພາສາແບບບໍ່ງາມ ນອກຈາກເປັນການທຳລາຍຊື່ສຽງຂອງເວບແລ້ວ ຍັງທຳລາຍວັດທະນະທຳທາງພາສາທີ່ດີງາມຂອງລາວ ແລະຊາດລາວອີກຊໍ້າ ຕ້ອງຊ່ວຍກັນສັ່ງສອນພວກ ທີ່ໃຊ້ພາສາລາວບໍ່ເປັນ ບໍ່ຮູ້ເຖິງແກ່ນແທ້ ຂອງພາສາລາວ ບໍ່ໃຫ້ມາໃຊ້ພາຊັ້ນຕໍ່າ ແລະຕໍ່ຕ້ານພາສາສະກຸນລາວທີ່ດີງາມນີ້
- ຂໍອະນຸຍາດ ນຳເຈົ້າຂອງເວບ
- ແລະຖາມພວກທີ່ອ້າງອັນນີ້ວ່າ ພາສາໄທພາສາລາວ ພວກນັ້ນເຂົາຮູ້ພາສາ ແລະປະຫວັດສາດຊາດລາວ ຫຼາຍພຽງໃດ.
(ຄຳຕອບນີ້ ຂໍອະນຸຍາດຢ່າລຶບ ໃຫ້ປະໄວ້ ກ່ອນຈັກ 2 ເດືອນ ແລ້ວຈຶ່ງລຶບຄຳຕອບນີ້ຖິ້ມສາ)

ຕໍ່ອີກ
- ຕອບກະທູ້ນີ້ ວ່າຄັນບໍ່ສຶກສາເຂົາແລ້ວ ເຮົາຊິພັດທະນາໄດ້ຈັ່ງໃດ ?

 




 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:


ຄົນລາວອ່ານຍັງບໍ່ທັນຮອດແຖວກໍ່ເລີກອ່ານແລ້ວ

ຢາກໃຫ້ເພິ່ນອ່ານ ຕ້ອງເອົາຂອງມາລໍ້ ເຊັ່່ນ

ເອົາຮູບຜູ້ສາວເຊັກຊີ້ມາໃສ່ໜ້າປົກ ແລະອື່ນໆ



ຄົນໄທມັກອ່ານຫນັງສືຍອ້ນວ່າຣັດຖະບານເຂົາມີແຕ່ສຸກຍູ້ໃຫ້ຄົນເຂົາຮໍ່າຮຽນຕັ້ງ
ແຕ່ນ້ອຍທ້າວເຖົ້າບັດພວກເຮົາສະພັດເກນເອົານັກຮຽນໄປຂຸດເຫືມອງຜູ້ໃດມີ
ຄວາມຮູ້ກະຫາວ່າເປັນຈັກກະພັດແລ້ວກະເຕ໊ໄປສຳມະນາຢູ່ຊຽງຂວາງຫຼືດອນຫຼ້ອກ
ດອນລີງອີກສ່ວນຫຼາຍກະຕາຍເລີຍ.
ຜູ້ທີ່ຍັງບໍ່ໄດ້ຖືກຈັບໄປກະທຳທ່າວ່າເປັນຄົນໂງ່ເພື່ອຄວາມປອດໄພຂອງຕົນເອງ.
ອັນນີ້ກໍ່ຄືຜົນສະທ້ອນທີ່ບໍ່ລອບຄອບຂອງຣັດຖະບານທີ່ເອົາລັດທິຂອງຄອມມີວນິດສ໌( communism ) ເຂົ້າມາໄຊ້ໃນການປົກຄອງປະຊາຊົນຫຼັງຈາກປີ1975ຮັ້ນແລະກໍເອີ້ນວ່າເປັນການ "ປົດປ່ອຍ" ເມືອງລາວວ່າຊັ້ນເດະ? Lol
ຈົນບ້ານເມືອງອື່ນເຂົາຊິພາກັນຂຶ້ນພະຈັນໄປເມິດແລ້ວອ້າຍຣັດຖບານລາວເຮົາຈັ່ງ
ຄຸ່ນຂຽ້ວພາກັນເອົາປື້ມມາແຈ່ກໃຫ້ເດັັກນ້ອຍຮຽນອ່ານໃນເຫື່ອມມັນບໍ່ແມ່ນນິໃສ
ຂອງຂະເຈົ້າມາແຕ່ດັ່ງເດີມຢູ່ແລ້ວຍ້ອນຜູ້ຄອງປະເທດມາກຳຈັັດແລະຂັດຂວາງໃນການສຶກຂອງປະຊາຊົນ
ຕົນເອງເພາະຢ້ານຈະມີປາກຈະມີສຽງເທົ່ານັ້ນຜົນສຸດທ້າຍບ້ານເມືອງກະເຕັມແຕ່ພໍ່ໄຮ່ພໍ່ນາພຽງແຕ່ກຸ້ມ
ຕົນເອງຫນັງສືໃຫ່ຍຮາວຄວຍແລ່ນຕຳກະຕາຍຊື່ໆ. ຄັກບໍ່ບັດນີ້ຫນະ?!!!


ຈາກຄົນກາງ

__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

ຄົນບ້ານເຂົາຈະອ່ານຫຼາຍໜ້ອຍບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ, ສີ່ງໃດທີ່ບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ
ບໍ່ຄວນໄປຫຍຸ້ງເຂົາ. ບ້ານໃຜບ້ານມັນ,​ເຂົາເອົາເຮົາໄປວິຈານເຮົາຍັງບໍ່ມັກ, ບໍ່ມັກອັນໃດກໍ່ຢ່າໄປເຮັດຈັ່ງຊັ້ນ.



ແນວຄິດແບບນັ້ນ ເປັນແນວຄິດຂ້າທາດ ຂາດສະຕີ ບໍ່ຊັ່ງຊາເຫດຜົນ ຄົນບໍ່ອ່ານໜັງສື ແລ້ວປານໃດຊິສະຫຼາດ ບາດເຂົາເວົ້າມາບໍ່ມີທາງແກ້ ເພາະຕົນໂຕໂງ່, ບໍ່ມີຄໍາຈະຕອບເຂົາ ເພາະບໍ່ສຶກສາຮໍ່າຮຽນ

- ອະໄພນໍາພີ່ນ້ອງລາວທັງມວນ ທີ່ສະຫຼາດກວ່າ ເວົ້າສະເພາະຄົນປັນຍາຕຶຶບເທົ່ານັ້ນ ທັງເຈົ້າຂອງເວບນີ້ດ້ວຍ, ຄັນບໍເຕືອນແນ່ ປ່ອຍໃຫ້ພວກບໍ່ຮູ້ຈັກພາສາລາວ ເຂົ້າມາໂຕ້ຕອບດ້ວຍພາສາແບບບໍ່ງາມ ນອກຈາກເປັນການທຳລາຍຊື່ສຽງຂອງເວບແລ້ວ ຍັງທຳລາຍວັດທະນະທຳທາງພາສາທີ່ດີງາມຂອງລາວ ແລະຊາດລາວອີກຊໍ້າ ຕ້ອງຊ່ວຍກັນສັ່ງສອນພວກ ທີ່ໃຊ້ພາສາລາວບໍ່ເປັນ ບໍ່ຮູ້ເຖິງແກ່ນແທ້ ຂອງພາສາລາວ ບໍ່ໃຫ້ມາໃຊ້ພາຊັ້ນຕໍ່າ ແລະຕໍ່ຕ້ານພາສາສະກຸນລາວທີ່ດີງາມນີ້
- ຂໍອະນຸຍາດ ນຳເຈົ້າຂອງເວບ
- ແລະຖາມພວກທີ່ອ້າງອັນນີ້ວ່າ ພາສາໄທພາສາລາວ ພວກນັ້ນເຂົາຮູ້ພາສາ ແລະປະຫວັດສາດຊາດລາວ ຫຼາຍພຽງໃດ.
(ຄຳຕອບນີ້ ຂໍອະນຸຍາດຢ່າລຶບ ໃຫ້ປະໄວ້ ກ່ອນຈັກ 2 ເດືອນ ແລ້ວຈຶ່ງລຶບຄຳຕອບນີ້ຖິ້ມສາ)

ຕໍ່ອີກ
- ຕອບກະທູ້ນີ້ ວ່າຄັນບໍ່ສຶກສາເຂົາແລ້ວ ເຮົາຊິພັດທະນາໄດ້ຈັ່ງໃດ ?

 



 



ຈັກເອົາອັນໃດມາເວົ້າ,ມີປະໂຫຍກໃດທີ່ບົ່ງບອກວ່າບໍ່ເຂົ້າໃຈພາສາລາວ?
ຄົນບ້າປ່ວງແລ້ວກັດທົ່ວທີບມັນເປັນແນວນີ້ນໍ້.
ການສຶກສາເພື່ອຖອດຖອນບົດຮຽນຄືສີ່ງທີ່ດີ, ແຕ່ການເອົາຜູ້ອື່ນມາວິຈານ
ໃນແງ່ບໍ່ດີຮ້ອງວ່າເວົ້າຂັວນ, ແມ່ນພວກວ່າງວຽກມັກເຮັດກັນ.
ຖ້າມີຜົນວິໃຈອອກມາວ່າ: ຄົນລາວອ່ານໜັງສຶບໍ່ຮອດແຖວ,ແລ້ວຄົນໄທຍເອົາໄປ
ຖອດຖອນບົດຮຽນ(ຂໍ້ອ້າງ)ຄືເຈົ້າວ່າ,ແລ້ວກໍ່ເວົ້າໃຫ້ເສຍໆຫາຍໆເຈົ້າມັກບໍ່?
ຂ້ອຍວ່າເອົາເວລາໄປອ່ານໜັງສືເກີນ7ແຖວກ່ອນເດ້,ແລ້ວຄ່ອຍໄປຫຍຸ້ງເລື່ອງ
ຊາດອື່ນ.
ປ.ລ: ບໍ່ໄດ້ຢາກປົກປ້ອງຊາດສະຫຍາມປານໃດດອກ, ແຕ່ຄວນຈະໃຫ້ຄວາມຍຸດຕິທັມ
ໃຫ້ແກ່ເຂົາເຈົ້າແດ່.

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:


ຄົນລາວອ່ານຍັງບໍ່ທັນຮອດແຖວກໍ່ເລີກອ່ານແລ້ວ

ຢາກໃຫ້ເພິ່ນອ່ານ ຕ້ອງເອົາຂອງມາລໍ້ ເຊັ່່ນ

ເອົາຮູບຜູ້ສາວເຊັກຊີ້ມາໃສ່ໜ້າປົກ ແລະອື່ນໆ



ຄົນໄທມັກອ່ານຫນັງສືຍອ້ນວ່າຣັດຖະບານເຂົາມີແຕ່ສຸກຍູ້ໃຫ້ຄົນເຂົາຮໍ່າຮຽນຕັ້ງ
ແຕ່ນ້ອຍທ້າວເຖົ້າບັດພວກເຮົາສະພັດເກນເອົານັກຮຽນໄປຂຸດເຫືມອງຜູ້ໃດມີ
ຄວາມຮູ້ກະຫາວ່າເປັນຈັກກະພັດແລ້ວກະເຕ໊ໄປສຳມະນາຢູ່ຊຽງຂວາງຫຼືດອນຫຼ້ອກ
ດອນລີງອີກສ່ວນຫຼາຍກະຕາຍເລີຍ.
ຜູ້ທີ່ຍັງບໍ່ໄດ້ຖືກຈັບໄປກະທຳທ່າວ່າເປັນຄົນໂງ່ເພື່ອຄວາມປອດໄພຂອງຕົນເອງ.
ອັນນີ້ກໍ່ຄືຜົນສະທ້ອນທີ່ບໍ່ລອບຄອບຂອງຣັດຖະບານທີ່ເອົາລັດທິຂອງຄອມມີວນິດສ໌( communism ) ເຂົ້າມາໄຊ້ໃນການປົກຄອງປະຊາຊົນຫຼັງຈາກປີ1975ຮັ້ນແລະກໍເອີ້ນວ່າເປັນການ "ປົດປ່ອຍ" ເມືອງລາວວ່າຊັ້ນເດະ? Lol
ຈົນບ້ານເມືອງອື່ນເຂົາຊິພາກັນຂຶ້ນພະຈັນໄປເມິດແລ້ວອ້າຍຣັດຖບານລາວເຮົາຈັ່ງ
ຄຸ່ນຂຽ້ວພາກັນເອົາປື້ມມາແຈ່ກໃຫ້ເດັັກນ້ອຍຮຽນອ່ານໃນເຫື່ອມມັນບໍ່ແມ່ນນິໃສ
ຂອງຂະເຈົ້າມາແຕ່ດັ່ງເດີມຢູ່ແລ້ວຍ້ອນຜູ້ຄອງປະເທດມາກຳຈັັດແລະຂັດຂວາງໃນການສຶກຂອງປະຊາຊົນ
ຕົນເອງເພາະຢ້ານຈະມີປາກຈະມີສຽງເທົ່ານັ້ນຜົນສຸດທ້າຍບ້ານເມືອງກະເຕັມແຕ່ພໍ່ໄຮ່ພໍ່ນາພຽງແຕ່ກຸ້ມ
ຕົນເອງຫນັງສືໃຫ່ຍຮາວຄວຍແລ່ນຕຳກະຕາຍຊື່ໆ. ຄັກບໍ່ບັດນີ້ຫນະ?!!!


ຈາກຄົນກາງ

ອັນນັ້ນແມ່ນຂໍ້ມູນປີ1975, ຂໍ້ມູນປີ2010 ທ່ານໄດ້update ລະເບາະ,
ລະວັງລ້າສະໃໝເດີ້. ເຖີງບໍ່ໄປຮອດເດືອນຮອດດາວ ຮັບຮອງວ່າໂຕຄວາມເຈົ້າຕຳບໍ່
ລົ້ມແລ້ວດຽວນີ້. ເຈົ້າຂອງເວບທີ່ເຈົ້າມາເຫຼັ້ນນີ້ກະແມ່ນລູກຫຼານ
ປະຕິວັດຄົນລຸ້ນໃໝ່ແຫລະນີ້.

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

ຄົນບ້ານເຂົາຈະອ່ານຫຼາຍໜ້ອຍບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ, ສີ່ງໃດທີ່ບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ
ບໍ່ຄວນໄປຫຍຸ້ງເຂົາ. ບ້ານໃຜບ້ານມັນ,​ເຂົາເອົາເຮົາໄປວິຈານເຮົາຍັງບໍ່ມັກ, ບໍ່ມັກອັນໃດກໍ່ຢ່າໄປເຮັດຈັ່ງຊັ້ນ.



ແນວຄິດແບບນັ້ນ ເປັນແນວຄິດຂ້າທາດ ຂາດສະຕີ ບໍ່ຊັ່ງຊາເຫດຜົນ ຄົນບໍ່ອ່ານໜັງສື ແລ້ວປານໃດຊິສະຫຼາດ ບາດເຂົາເວົ້າມາບໍ່ມີທາງແກ້ ເພາະຕົນໂຕໂງ່, ບໍ່ມີຄໍາຈະຕອບເຂົາ ເພາະບໍ່ສຶກສາຮໍ່າຮຽນ

- ອະໄພນໍາພີ່ນ້ອງລາວທັງມວນ ທີ່ສະຫຼາດກວ່າ ເວົ້າສະເພາະຄົນປັນຍາຕຶຶບເທົ່ານັ້ນ ທັງເຈົ້າຂອງເວບນີ້ດ້ວຍ, ຄັນບໍເຕືອນແນ່ ປ່ອຍໃຫ້ພວກບໍ່ຮູ້ຈັກພາສາລາວ ເຂົ້າມາໂຕ້ຕອບດ້ວຍພາສາແບບບໍ່ງາມ ນອກຈາກເປັນການທຳລາຍຊື່ສຽງຂອງເວບແລ້ວ ຍັງທຳລາຍວັດທະນະທຳທາງພາສາທີ່ດີງາມຂອງລາວ ແລະຊາດລາວອີກຊໍ້າ ຕ້ອງຊ່ວຍກັນສັ່ງສອນພວກ ທີ່ໃຊ້ພາສາລາວບໍ່ເປັນ ບໍ່ຮູ້ເຖິງແກ່ນແທ້ ຂອງພາສາລາວ ບໍ່ໃຫ້ມາໃຊ້ພາຊັ້ນຕໍ່າ ແລະຕໍ່ຕ້ານພາສາສະກຸນລາວທີ່ດີງາມນີ້
- ຂໍອະນຸຍາດ ນຳເຈົ້າຂອງເວບ
- ແລະຖາມພວກທີ່ອ້າງອັນນີ້ວ່າ ພາສາໄທພາສາລາວ ພວກນັ້ນເຂົາຮູ້ພາສາ ແລະປະຫວັດສາດຊາດລາວ ຫຼາຍພຽງໃດ.
(ຄຳຕອບນີ້ ຂໍອະນຸຍາດຢ່າລຶບ ໃຫ້ປະໄວ້ ກ່ອນຈັກ 2 ເດືອນ ແລ້ວຈຶ່ງລຶບຄຳຕອບນີ້ຖິ້ມສາ)

ຕໍ່ອີກ
- ຕອບກະທູ້ນີ້ ວ່າຄັນບໍ່ສຶກສາເຂົາແລ້ວ ເຮົາຊິພັດທະນາໄດ້ຈັ່ງໃດ ?

 



 



ຈັກເອົາອັນໃດມາເວົ້າ,ມີປະໂຫຍກໃດທີ່ບົ່ງບອກວ່າບໍ່ເຂົ້າໃຈພາສາລາວ?
ຄົນບ້າປ່ວງແລ້ວກັດທົ່ວທີບມັນເປັນແນວນີ້ນໍ້.
ການສຶກສາເພື່ອຖອດຖອນບົດຮຽນຄືສີ່ງທີ່ດີ, ແຕ່ການເອົາຜູ້ອື່ນມາວິຈານ
ໃນແງ່ບໍ່ດີຮ້ອງວ່າເວົ້າຂັວນ, ແມ່ນພວກວ່າງວຽກມັກເຮັດກັນ.
ຖ້າມີຜົນວິໃຈອອກມາວ່າ: ຄົນລາວອ່ານໜັງສຶບໍ່ຮອດແຖວ,ແລ້ວຄົນໄທຍເອົາໄປ
ຖອດຖອນບົດຮຽນ(ຂໍ້ອ້າງ)ຄືເຈົ້າວ່າ,ແລ້ວກໍ່ເວົ້າໃຫ້ເສຍໆຫາຍໆເຈົ້າມັກບໍ່?
ຂ້ອຍວ່າເອົາເວລາໄປອ່ານໜັງສືເກີນ7ແຖວກ່ອນເດ້,ແລ້ວຄ່ອຍໄປຫຍຸ້ງເລື່ອງ
ຊາດອື່ນ.
ປ.ລ: ບໍ່ໄດ້ຢາກປົກປ້ອງຊາດສະຫຍາມປານໃດດອກ, ແຕ່ຄວນຈະໃຫ້ຄວາມຍຸດຕິທັມ
ໃຫ້ແກ່ເຂົາເຈົ້າແດ່.

ມັກໆໆໆ ຖ້າເປັນການວິຈານ ແລະວິເຄາະແບບ ທີ່ຕ່າງປະເທດເຂົາທຳກັນ ເພາະເປັນການຊຸກຍູ້ໃຫ້ຄົນລາວມີໃຈຮຽນ ຄັນແມ່ນມີແຕ່ໃຈ ແຕ່ບໍ່ມີຫົວຄິດປັນຍານັ້ນແລ້ວ ຄື ເຂົາຮຽກວ່າ ເປັນການທຳລາຍຊາດ ສົມກັບທ່ານປະທານໄກສອນວ່າ ເສັຍພາສາເໝືອນເສັຍຊາດ.
- ອີກຢ່າງໜຶ່ງ
ຄົນບໍ່ຮູ້ວ່າຄົນອື່ນໂງ້ ຄົນນັ້ນໂງ່
ຄົນທີ່ບໍ່ຮູ້ວ່າຕົນເອງໂງ່ ຄົນນັ້ນງ່າວ
ຄົນທີ່ຮູ້ວ່າຕົນເອງໂງ່ ແລ້ວບໍ່ຍອມໂງ່ ອັນນັ້ນມະຫາໂງ່່ເງົ່າເຕົ່າຕາຍ ທີ່ສຸດ ຄົນລາວຕ້ອງຍອມຮັບໃນການທີ່ຈະປັບປຸງຊີວິດຂອງຕົນໃຫ້ດີິ ດ້ວຍການສຶກສາຈຸດອ່ອນຈຸດດີ ແລະຕຳນິວິຈານຈຸດບົກຜ່ອງໃຫ້ໄດ້ ບໍ່ດັ່ງນັ້ນ ຊາດເຮົາລົ້ມແນ່ນອນ ຫາກແນວຄິດແບບຄົນຂ້າງເທິງເວົ້າແຜ່ຫລາຍໃນເມືອງລາວ


__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

ຄົນບ້ານເຂົາຈະອ່ານຫຼາຍໜ້ອຍບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ, ສີ່ງໃດທີ່ບໍ່ກ່ຽວກັບເຮົາ
ບໍ່ຄວນໄປຫຍຸ້ງເຂົາ. ບ້ານໃຜບ້ານມັນ,​ເຂົາເອົາເຮົາໄປວິຈານເຮົາຍັງບໍ່ມັກ, ບໍ່ມັກອັນໃດກໍ່ຢ່າໄປເຮັດຈັ່ງຊັ້ນ.



ແນວຄິດແບບນັ້ນ ເປັນແນວຄິດຂ້າທາດ ຂາດສະຕີ ບໍ່ຊັ່ງຊາເຫດຜົນ ຄົນບໍ່ອ່ານໜັງສື ແລ້ວປານໃດຊິສະຫຼາດ ບາດເຂົາເວົ້າມາບໍ່ມີທາງແກ້ ເພາະຕົນໂຕໂງ່, ບໍ່ມີຄໍາຈະຕອບເຂົາ ເພາະບໍ່ສຶກສາຮໍ່າຮຽນ

- ອະໄພນໍາພີ່ນ້ອງລາວທັງມວນ ທີ່ສະຫຼາດກວ່າ ເວົ້າສະເພາະຄົນປັນຍາຕຶຶບເທົ່ານັ້ນ ທັງເຈົ້າຂອງເວບນີ້ດ້ວຍ, ຄັນບໍເຕືອນແນ່ ປ່ອຍໃຫ້ພວກບໍ່ຮູ້ຈັກພາສາລາວ ເຂົ້າມາໂຕ້ຕອບດ້ວຍພາສາແບບບໍ່ງາມ ນອກຈາກເປັນການທຳລາຍຊື່ສຽງຂອງເວບແລ້ວ ຍັງທຳລາຍວັດທະນະທຳທາງພາສາທີ່ດີງາມຂອງລາວ ແລະຊາດລາວອີກຊໍ້າ ຕ້ອງຊ່ວຍກັນສັ່ງສອນພວກ ທີ່ໃຊ້ພາສາລາວບໍ່ເປັນ ບໍ່ຮູ້ເຖິງແກ່ນແທ້ ຂອງພາສາລາວ ບໍ່ໃຫ້ມາໃຊ້ພາຊັ້ນຕໍ່າ ແລະຕໍ່ຕ້ານພາສາສະກຸນລາວທີ່ດີງາມນີ້
- ຂໍອະນຸຍາດ ນຳເຈົ້າຂອງເວບ
- ແລະຖາມພວກທີ່ອ້າງອັນນີ້ວ່າ ພາສາໄທພາສາລາວ ພວກນັ້ນເຂົາຮູ້ພາສາ ແລະປະຫວັດສາດຊາດລາວ ຫຼາຍພຽງໃດ.
(ຄຳຕອບນີ້ ຂໍອະນຸຍາດຢ່າລຶບ ໃຫ້ປະໄວ້ ກ່ອນຈັກ 2 ເດືອນ ແລ້ວຈຶ່ງລຶບຄຳຕອບນີ້ຖິ້ມສາ)

ຕໍ່ອີກ
- ຕອບກະທູ້ນີ້ ວ່າຄັນບໍ່ສຶກສາເຂົາແລ້ວ ເຮົາຊິພັດທະນາໄດ້ຈັ່ງໃດ ?

 



 



ຈັກເອົາອັນໃດມາເວົ້າ,ມີປະໂຫຍກໃດທີ່ບົ່ງບອກວ່າບໍ່ເຂົ້າໃຈພາສາລາວ?
ຄົນບ້າປ່ວງແລ້ວກັດທົ່ວທີບມັນເປັນແນວນີ້ນໍ້.
ການສຶກສາເພື່ອຖອດຖອນບົດຮຽນຄືສີ່ງທີ່ດີ, ແຕ່ການເອົາຜູ້ອື່ນມາວິຈານ
ໃນແງ່ບໍ່ດີຮ້ອງວ່າເວົ້າຂັວນ, ແມ່ນພວກວ່າງວຽກມັກເຮັດກັນ.
ຖ້າມີຜົນວິໃຈອອກມາວ່າ: ຄົນລາວອ່ານໜັງສຶບໍ່ຮອດແຖວ,ແລ້ວຄົນໄທຍເອົາໄປ
ຖອດຖອນບົດຮຽນ(ຂໍ້ອ້າງ)ຄືເຈົ້າວ່າ,ແລ້ວກໍ່ເວົ້າໃຫ້ເສຍໆຫາຍໆເຈົ້າມັກບໍ່?
ຂ້ອຍວ່າເອົາເວລາໄປອ່ານໜັງສືເກີນ7ແຖວກ່ອນເດ້,ແລ້ວຄ່ອຍໄປຫຍຸ້ງເລື່ອງ
ຊາດອື່ນ.
ປ.ລ: ບໍ່ໄດ້ຢາກປົກປ້ອງຊາດສະຫຍາມປານໃດດອກ, ແຕ່ຄວນຈະໃຫ້ຄວາມຍຸດຕິທັມ
ໃຫ້ແກ່ເຂົາເຈົ້າແດ່.

 

 



ໂອ້ຍຈັ່ງແມ່ນໂຕປຶກນໍ້ແຕ່ເຮົາເປັນເດັກນ້ອຍເຮົາກະຍັງເຂົ້າໃຈຈຸດມຸ້ງຫມາຍຂອງ
ກະທຸອັນນີ້!
ເຫັນບໍ່ລະຄວາມໂງ່ແລະປິກຫນ້າຂອງຕົນເອງທີ່ພາເຮັດໃຫ້ໄດ້ແຕ່ຄຶດແບບຕື້ນໆ
ນະ!!!

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:


ຄົນລາວອ່ານຍັງບໍ່ທັນຮອດແຖວກໍ່ເລີກອ່ານແລ້ວ

ຢາກໃຫ້ເພິ່ນອ່ານ ຕ້ອງເອົາຂອງມາລໍ້ ເຊັ່່ນ

ເອົາຮູບຜູ້ສາວເຊັກຊີ້ມາໃສ່ໜ້າປົກ ແລະອື່ນໆ



ຄົນໄທມັກອ່ານຫນັງສືຍອ້ນວ່າຣັດຖະບານເຂົາມີແຕ່ສຸກຍູ້ໃຫ້ຄົນເຂົາຮໍ່າຮຽນຕັ້ງ
ແຕ່ນ້ອຍທ້າວເຖົ້າບັດພວກເຮົາສະພັດເກນເອົານັກຮຽນໄປຂຸດເຫືມອງຜູ້ໃດມີ
ຄວາມຮູ້ກະຫາວ່າເປັນຈັກກະພັດແລ້ວກະເຕ໊ໄປສຳມະນາຢູ່ຊຽງຂວາງຫຼືດອນຫຼ້ອກ
ດອນລີງອີກສ່ວນຫຼາຍກະຕາຍເລີຍ.
ຜູ້ທີ່ຍັງບໍ່ໄດ້ຖືກຈັບໄປກະທຳທ່າວ່າເປັນຄົນໂງ່ເພື່ອຄວາມປອດໄພຂອງຕົນເອງ.
ອັນນີ້ກໍ່ຄືຜົນສະທ້ອນທີ່ບໍ່ລອບຄອບຂອງຣັດຖະບານທີ່ເອົາລັດທິຂອງຄອມມີວນິດສ໌( communism ) ເຂົ້າມາໄຊ້ໃນການປົກຄອງປະຊາຊົນຫຼັງຈາກປີ1975ຮັ້ນແລະກໍເອີ້ນວ່າເປັນການ "ປົດປ່ອຍ" ເມືອງລາວວ່າຊັ້ນເດະ? Lol
ຈົນບ້ານເມືອງອື່ນເຂົາຊິພາກັນຂຶ້ນພະຈັນໄປເມິດແລ້ວອ້າຍຣັດຖບານລາວເຮົາຈັ່ງ
ຄຸ່ນຂຽ້ວພາກັນເອົາປື້ມມາແຈ່ກໃຫ້ເດັັກນ້ອຍຮຽນອ່ານໃນເຫື່ອມມັນບໍ່ແມ່ນນິໃສ
ຂອງຂະເຈົ້າມາແຕ່ດັ່ງເດີມຢູ່ແລ້ວຍ້ອນຜູ້ຄອງປະເທດມາກຳຈັັດແລະຂັດຂວາງໃນການສຶກຂອງປະຊາຊົນ
ຕົນເອງເພາະຢ້ານຈະມີປາກຈະມີສຽງເທົ່ານັ້ນຜົນສຸດທ້າຍບ້ານເມືອງກະເຕັມແຕ່ພໍ່ໄຮ່ພໍ່ນາພຽງແຕ່ກຸ້ມ
ຕົນເອງຫນັງສືໃຫ່ຍຮາວຄວຍແລ່ນຕຳກະຕາຍຊື່ໆ. ຄັກບໍ່ບັດນີ້ຫນະ?!!!


ຈາກຄົນກາງ

ອັນນັ້ນແມ່ນຂໍ້ມູນປີ1975, ຂໍ້ມູນປີ2010 ທ່ານໄດ້update ລະເບາະ,
ລະວັງລ້າສະໃໝເດີ້. ເຖີງບໍ່ໄປຮອດເດືອນຮອດດາວ ຮັບຮອງວ່າໂຕຄວາມເຈົ້າຕຳບໍ່
ລົ້ມແລ້ວດຽວນີ້. ເຈົ້າຂອງເວບທີ່ເຈົ້າມາເຫຼັ້ນນີ້ກະແມ່ນລູກຫຼານ
ປະຕິວັດຄົນລຸ້ນໃໝ່ແຫລະນີ້.

 

 



ໂອ້ຍເຈົ້າຫນັ້ນມາບອກຂ້ອຍຊ້າເກີນໄປແລ້ວເລື້ອງອັບເດດຂອງເມືອງລາວຮັ້ນນະ
ຍ້ອນວ່າຂ້ອຍເຫັນວ່າຣັດຖບານລາວເຮົາຫາກໍ່ຊິຄຸ່ນຂ້ຽວໃຫ້ເດັກນ້ອຍລາວຍັງ
ເປັນຈຳຳນວນຫນ້ອຍຢູ່ໃຫ້ຮໍ່າຮຽນບັດເກືອບເມິດໂລກເຂົາຈົນຊິຂຶ້ນພະຈັນ
ໄປເມິດແລ້ວລາວຫາກໍ່ເລີ້ມຕົ້ນຮຽນອ່ານ???

 



__________________
Anonymous

Date:

ອາຈານສາຍເຊລໍາເພົາສັນເຂົ້າເຊົ້າກັບຫຍັງຈຶ່ງໄປຊອກເຫັນຂໍ້ມູນທີ່ສາມາດເຮັດໃຫ້ອອກຕົນຍາດໂຍມຜິດຖຽງກັນໄດ້?

__________________
Anonymous

Date:

I think the Webmaster will delete this topic very soon.

__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

I think the Webmaster will delete this topic very soon.



Why, cuz he/she Lao people is too fragile to handle to truth that can actually help them mave faster?!

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

ອາຈານສາຍເຊລໍາເພົາສັນເຂົ້າເຊົ້າກັບຫຍັງຈຶ່ງໄປຊອກເຫັນຂໍ້ມູນທີ່ສາມາດເຮັດໃຫ້ອອກຕົນຍາດໂຍມຜິດຖຽງກັນໄດ້?



ເປັນຕາຫນ່າຍນໍ ຄົນບ້ານເຮົາ ປານໃດສະຫລາດຫລາຍຂຶ້ນ ເຂົາເອົາຂໍ້ມູນ ທີ່ດີມາເຕືອນສະຕິ ໃຫ້ເກີດຄວາມຮູ້ຄວາມເຂົ້າ ໃຈ ກັບມາກັດກັນປານກັບຫຍັງ ແທນທີ່ສິ ມີສະຕິສະຕັງ ພັດທະນາຕົນໃຫ້ກາຍເປັນຄົນທັນສະໄໝ ພັດທະນາມັນສະຫມອງ ແລະສະຕິປັນຍາ ໃຫ້ເດັ່ນດີ ກັບມາສ້າງສາຕົນ ແລະປະເທດຊາດ ບັດແລ້ວກັບມາສະແດງ ຄວາມສະຫລາດນ້ອຍ ໃຫ້ໂລກລື ສົງສານບັນພະບູລຸດລາວເດ ຂ້ອຍເອີຍ

__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

ອາຈານສາຍເຊລໍາເພົາສັນເຂົ້າເຊົ້າກັບຫຍັງຈຶ່ງໄປຊອກເຫັນຂໍ້ມູນທີ່ສາມາດເຮັດໃຫ້ອອກຕົນຍາດໂຍມຜິດຖຽງກັນໄດ້?



ເປັນຕາຫນ່າຍນໍ ຄົນບ້ານເຮົາ ປານໃດສະຫລາດຫລາຍຂຶ້ນ ເຂົາເອົາຂໍ້ມູນ ທີ່ດີມາເຕືອນສະຕິ ໃຫ້ເກີດຄວາມຮູ້ຄວາມເຂົ້າ ໃຈ ກັບມາກັດກັນປານກັບຫຍັງ ແທນທີ່ສິ ມີສະຕິສະຕັງ ພັດທະນາຕົນໃຫ້ກາຍເປັນຄົນທັນສະໄໝ ພັດທະນາມັນສະຫມອງ ແລະສະຕິປັນຍາ ໃຫ້ເດັ່ນດີ ກັບມາສ້າງສາຕົນ ແລະປະເທດຊາດ ບັດແລ້ວກັບມາສະແດງ ຄວາມສະຫລາດນ້ອຍ ໃຫ້ໂລກລື ສົງສານບັນພະບູລຸດລາວເດ ຂ້ອຍເອີຍ

 



ແມ່ນຄວາມເຈົ້າແທ້ໆຮັ້ນແລ້ວ!
ມັນເມືອກປາກແທ້ເດີ້ທີ່ເວົ້ານຳຄົນທີ່ບໍ່ເລື້ອງໃຊ້ຫົວຕົນເອງຄຶດນະເພາະມີແຕ່
ໃຫ້ອາຍໃຫ່ຍເປັນຜູ້ຄຶດໃຫ້ (Vietnam & China )ໄຄແຕ່ຍັງບໍ່ທັນໃຫ້ຫຍໍ້າ
ເຂົ້າບ້ອນພ້ອມ.

 



__________________
Anonymous

Date:

สรุปแล้ว
 
วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

สรุปแล้ว

วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ

 



ໄທຊອດລາວຫັ້ນຕີ້ຈຶງອ່ານພາສາລາວໄດ້ຮອດເຈັດບັນທັດນະ!dohbiggrin

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

สรุปแล้ว
 
วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ



ແມ່ນມື້ນີ້ຂ່ອຍຄົນໄທຍກະອ່ານພາສາລາວເກິນ 7 ບັນທັດແລ້ວ 555

 



__________________


Member

Status: Offline
Posts: 24
Date:

การอ่านหนังสือของคนไทย
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (ทีเคพาร์ค)และ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันทำโครงการวิจัยเรื่อง “การศึกษาสถานการณ์การอ่านและดัชนีการอ่านของคนไทยปี2552″ ได้ผลสรุปดังนี้

เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างเพื่อการอ่านมากที่สุด
ขณะที่คนอายุ 49 ปีขึ้นไป ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด

ส่วนอาชีพข้าราชการเป็นผู้ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือมากที่สุด
สำหรับอาชีพอื่น ๆ เช่น ภิกษุ แม่บ้าน ทหารเกณฑ์ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด

ด้านที่ตั้งของถิ่นที่อยู่พบว่า
ผู้ที่อยู่ในเขตเมืองมีดัชนีการอ่านมากกว่าผู้ที่อยู่นอกเมือง

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า20 ปีอ่านน้อยที่สุด เฉลี่ย 3-4 วันต่อสัปดาห์
ผู้มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปอ่านมากที่สุดเฉลี่ย 5-6 วันต่อสัปดาห์
ในขณะที่ประถมศึกษาอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 3-4 วันต่อสัปดาห์
ส่วนอาชีพรับราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเอกชน อ่านมากที่สุดเฉลี่ย 5 วันต่อสัปดาห์
ส่วนอาชีพรับจ้าง และเกษตรกรอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 3 วันต่อสัปดาห์

ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการอ่านเฉลี่ย 1.568 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 94 นาทีต่อวัน
ผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี มีเวลาอ่านเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด 115 นาที
ส่วนอายุมากกว่า49 ปีขึ้นไปอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 75 นาทีต่อวัน
ผู้มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีอ่านเฉลี่ย 116 นาทีต่อวัน
ประถมศึกษาน้อยที่สุดเฉลี่ย 76 นาทีต่อวัน
อาชีพนักเรียน นิสิต นักศึกษาอ่านเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด 113 นาทีต่อวัน
ส่วนอาชีพรับจ้าง และเกษตรกรอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 66 นาทีต่อวัน

สำหรับค่าใช้จ่ายการอ่านของคนไทยเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่523
และยังพบว่าผู้มีอายุมากกว่า 49 ปีขึ้นไปมีความคล่องแคล่วในการอ่านน้อยที่สุด

สำหรับการศึกษา ระดับประถมคล่อง แคล่วในการอ่านน้อยที่สุด

ส่วนอาชีพรับจ้าง เกษตรกรภิกษุ แม่บ้าน และทหารเกณฑ์มีความคล่องแคล่วในการอ่านน้อยที่สุด

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ผลวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์และตอบโต้ข้อมูลเดิมที่ระบุว่าคนไทยอ่านเฉลี่ย แค่ 8 บรรทัดต่อปี ดังนั้นจะเป็นประโยชน์ในแง่การกระตุ้นเชิงนโยบายถ้าปีต่อไปทำงานวิจัยต่อ แต่เน้นเชิงคุณภาพและรายละเอียดมากกว่านี้ เราจะได้สถานการณ์การอ่านของคนไทยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนค่าเฉลี่ยการอ่าน 8 บรรทัดต่อปี ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เคยมีการศึกษาและเชื่อว่าอาจเกิดจากการตีความเองของผู้นำข้อมูลไปใช้หรือนำ ไปเผยแพร่ต่อ หรืออาจมาจากการสำรวจของหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่สำนักงานสถิติแห่งชาติ

ที่มา : ku library,kulc,kasetsart university,สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์,ห้อง สมุดมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์,ห้องสมุด ม.เกษตร,ห้องสมุดเกษตร / สำนักงานสถิติแห่งชาติ(http://www.nso.go.th/) 


-- Edited by 5OCENT on Sunday 21st of November 2010 09:12:56 AM

__________________
Anonymous

Date:

5OCENT wrote:

การอ่านหนังสือของคนไทย
สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (ทีเคพาร์ค)และ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันทำโครงการวิจัยเรื่อง “การศึกษาสถานการณ์การอ่านและดัชนีการอ่านของคนไทยปี2552″ ได้ผลสรุปดังนี้

เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างเพื่อการอ่านมากที่สุด
ขณะที่คนอายุ 49 ปีขึ้นไป ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด

ส่วนอาชีพข้าราชการเป็นผู้ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือมากที่สุด
สำหรับอาชีพอื่น ๆ เช่น ภิกษุ แม่บ้าน ทหารเกณฑ์ใช้เวลาว่างอ่านน้อยที่สุด

ด้านที่ตั้งของถิ่นที่อยู่พบว่า
ผู้ที่อยู่ในเขตเมืองมีดัชนีการอ่านมากกว่าผู้ที่อยู่นอกเมือง

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่อายุน้อยกว่า20 ปีอ่านน้อยที่สุด เฉลี่ย 3-4 วันต่อสัปดาห์
ผู้มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปอ่านมากที่สุดเฉลี่ย 5-6 วันต่อสัปดาห์
ในขณะที่ประถมศึกษาอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 3-4 วันต่อสัปดาห์
ส่วนอาชีพรับราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเอกชน อ่านมากที่สุดเฉลี่ย 5 วันต่อสัปดาห์
ส่วนอาชีพรับจ้าง และเกษตรกรอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 3 วันต่อสัปดาห์

ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการอ่านเฉลี่ย 1.568 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 94 นาทีต่อวัน
ผู้ที่อายุน้อยกว่า 20 ปี มีเวลาอ่านเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด 115 นาที
ส่วนอายุมากกว่า49 ปีขึ้นไปอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 75 นาทีต่อวัน
ผู้มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีอ่านเฉลี่ย 116 นาทีต่อวัน
ประถมศึกษาน้อยที่สุดเฉลี่ย 76 นาทีต่อวัน
อาชีพนักเรียน นิสิต นักศึกษาอ่านเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด 113 นาทีต่อวัน
ส่วนอาชีพรับจ้าง และเกษตรกรอ่านน้อยที่สุดเฉลี่ย 66 นาทีต่อวัน

สำหรับค่าใช้จ่ายการอ่านของคนไทยเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่523
และยังพบว่าผู้มีอายุมากกว่า 49 ปีขึ้นไปมีความคล่องแคล่วในการอ่านน้อยที่สุด

สำหรับการศึกษา ระดับประถมคล่อง แคล่วในการอ่านน้อยที่สุด

ส่วนอาชีพรับจ้าง เกษตรกรภิกษุ แม่บ้าน และทหารเกณฑ์มีความคล่องแคล่วในการอ่านน้อยที่สุด

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ผลวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์และตอบโต้ข้อมูลเดิมที่ระบุว่าคนไทยอ่านเฉลี่ย แค่ 8 บรรทัดต่อปี ดังนั้นจะเป็นประโยชน์ในแง่การกระตุ้นเชิงนโยบายถ้าปีต่อไปทำงานวิจัยต่อ แต่เน้นเชิงคุณภาพและรายละเอียดมากกว่านี้ เราจะได้สถานการณ์การอ่านของคนไทยที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนค่าเฉลี่ยการอ่าน 8 บรรทัดต่อปี ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เคยมีการศึกษาและเชื่อว่าอาจเกิดจากการตีความเองของผู้นำข้อมูลไปใช้หรือนำ ไปเผยแพร่ต่อ หรืออาจมาจากการสำรวจของหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่สำนักงานสถิติแห่งชาติ

ที่มา : ku library,kulc,kasetsart university,สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์,ห้อง สมุดมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์,ห้องสมุด ม.เกษตร,ห้องสมุดเกษตร / สำนักงานสถิติแห่งชาติ(http://www.nso.go.th/) 


-- Edited by 5OCENT on Sunday 21st of November 2010 09:12:56 AM



ຂ້າພະເຈົ້ານິຍົມການອ່ານ ຂ້າພະເຈົ້າເຊື່ອວ່າການອ່ານຄືການພັດທະນາ ມີຄົນທີ່ມີສື່ສຽງຫຼາຍທ່ານບອກວ່າ ຢາກເຫັນວ່າຄົນໃນຊຸມຊົນສັງຄົມນັ້ນ ຊິຈະເລີນພັດທານາ ໃຫ້ເບິ່ງຕະຫຼາດນັ້ງສືຢູ່ບ້ານນັ້ນໆໆໆໆ

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

Anonymous wrote:

 

สรุปแล้ว

วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ

 



ໄທຊອດລາວຫັ້ນຕີ້ຈຶງອ່ານພາສາລາວໄດ້ຮອດເຈັດບັນທັດນະ!dohbiggrin

 



             รู้สึกดีที่หลาย ๆ   คน  เข้าใจความสำคัญของการอ่านมีความสำคัญที่จะช่วย พัฒนาคน  พัฒนาตนและพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรสืบไปได้อย่างไร  เป็นความภูมิใจและเห็นความดีกับของกระบวนการจัดการความรู้ของมิตรสหายต่างบ้านต่างเมือง  แต่ไม่ต่างความคิดในทางที่ถูกที่ควร   วันนี้ไทยอาจจะด้อยการอ่านจากข้อมูลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ ๗  บรรทัดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะไม่พัฒนาการอ่านงอกงามขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น    สิ่งเราเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่เราจะพยายามอ่านภาษาของเราให้มากขึ้น  พร้อม  ๆ  กับหัดเรียนรู้ภาษาทุก ๆ ชาติอย่างที่ใกล้ตัวเราพร้อมกับทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาต้องการสื่อความหมาย  จริงอยู่ข้าน้อยอาจจะอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งไม่ชำนาญเท่าท่าน(บางคน)  แต่ความพยายามที่จะอ่านภาษาทุกภาษาที่จะพอจะอ่านแล้วเข้าใจได้.............ดังที่ปรากฏแล้วนั้น

            แต่ก็มีอีกบางคน ที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับสิ่งกล่าวไว้ในข้างต้น  ดังที่เห็นจากประโยคที่อ้างเอาไว้ข้างต้นนั้น   คงต้องปฏิเสธว่าการที่อ่านภาษาของลาวได้นั้น จำเป็นต้องเป็นลูกซอดลาว- ไทยเท่านั้นหรือ  หากคิดในทางกลับกัน การที่ในกระทู้นี้ได้คัดลอกสำเนาภาษาไทยมาแปะไว้หลายวรรคหลายตอน  หากท่านอ่านสิ่งเหล่านี้  ท่านจำเป็นต้องเป็นลูกซอดไทย - ลาว ด้วยหรือ    ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป   กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิด ซึ่งส่งผลให้อ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานนั้น  มิได้อุบัติเพียงจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดาเป็นสำคัญ   สิ่งเกิดขึ้นเป็นผลผลิตจากทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ  ความจำ ความเข้าใจต่างหาก  นี่คือสิ่งที่มนุษย์อาจจะต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกได้น้ำนมอื่น ๆ     อย่างนั้นหากอาศัยความคิดอันมิได้อยู่บนหลักความจริงแล้วไซร้    มนุษย์สั่งกระบือ ช้าง หรือม้าได้  แต่คงต้องเกิดจากลูกซอดระหว่างมนุษย์กับสัตว์พันธุ์อื่นเป็นแน่
       
            หากมองโดยปราศจากความลำเอียงใด  การที่มีคนต่างประเทศ(ตามที่ท่านคิด)  สนใจภาษาของท่าน อ่านเข้าใจความหมาย การสื่อสารของท่าน  รับรู้ความรู้สึกของท่าน  เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของท่าน น่าจะเป็นเรื่องที่ภูมิใจของคนในชาตินั้น  เป็นเครื่องหมายรับรองความดี ความงามโดยแท้ของภาษาและวัฒนธรรมอันเอกลักษณ์ของชาติจะไม่มีวันล่มสลายไป  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เห็นดีเห็นงามร่วมกันมิใช่หรือ กลับกลายมาเป็นเรื่องสัพยอกกันด้วยเรื่องชาติกำเหนิด

           ท้ายสุดไทยเองมิอาจจะยึดถือโดยแท้ได้เลยว่า เลือดในกายนี้บริสุทธิ์ด้วยความเป็นไทยเพียงอย่างเดียว ความผสมผสานชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษในกลุ่มคนของอุษาอาคเนย์  ลุ่มน้ำแม่โขงต่างหากที่เป็นจุดกำเนิดของเลือดในกายนี้   คนไทยยังพูดภาษาที่ท่านเข้าใจได้  คนลาวก็พูดภาษาที่ไทยเข้าใจได้  คนไทยยังกินปลาแดก  คนไทยยังกินตำส้ม  คนไทยยังนุ่งซิ่น  คนไทยยังกินข้าวเหนียว   คนไทยอยู่เรือนสูง   สายเลือดของบรรพบุรุษที่ดูเสมือนชาติพันธุ์เดียวกันยังคงแน่นแฟ้นมีจุดกำเนิดเดียวกัน     หากท่านจะแยกความเป็นไทเป็นคนต่างประเทศแล้วนั้น  ก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามความต้องการ................ตรงกันข้ามกับข้าพเจ้าที่คิดว่า ภูมิใจในความเป็นคนไทย  แต่ไม่เคยลืมเลือนหรือปฏิเสธ ความมีสายเลือดเดียวกับคนลาว  แม้นสักเพียงหยดหนึ่งในกาย
การอ่านภาษาลาวเพื่อรับรู้เรื่องของคนลาว ของเพื่อนมนุษยชาติ กลุ่มคนที่ใกล้ชิดกันมากที่ก็คงยังต้องดำเนินต่อไป ขออภัยด้วยจริง  ๆ........................อ่านผะหยาต่อไปนี้ คงยืนยันได้ว่าได้อ่านเกิน ๗ บรรทัดใน ๑ ปี

คนเฮานี้ ต้องเผิ่งอาศัยกัน
                คือดังปลาอาศัยน้ำ น้ำกะเผิ่งวังปลา
                ปลาอาศัยวังเวิน จึ่งล่องลอยนาน้ำ
                ทามอาศัยห้วย งัว คว-ยอาศัยแอก
                ตาแฮกอาศัยไก่ต้ม จึงโดนตุ้มจากคอน
                คือดังคอนอาศัยไม้ นกใส่อาศัยโกน
                คนกะอาศัยคน เผิ่งกันโดยด้าม
                คามอาศัยหม้อ หมอ มอ อาศัยส่อง
                ฆ้องอาศัยไม้ฆ้อน ตีต้องจึงค่อยดัง


สามัคคีกันไว้ คือข้าวเหนียวนึ่งใหม่
                อย่าได้เพแตกม้าง คือน้ำถืกข้าวเหนียว
                สามัคคีกันไว้ คือฝนแสนห่า
                ตกลงมาจากฟ้า ไหลโฮมโห่งอยู่หนอง


                   เซื้อซาติแฮ้งอย่าเหม็นสาบกุยกัน
                   เกิดเป็นคนให้ฮักแพงกันไว้
                   ไผเฮ็ดดีให้ซอยยู้ ซอยซูอย่าหย่านลืน
                   ไผเฮ็ดผิดให้ซอยเว้า ไขแก้ดอกซอยกัน


 



__________________
Vi Bao Lao

Date:

ຄົນ ໄທ ເຂົາເຈົ້າ ມີຄວາມ ໃສ່ໃຈ ຕໍ່ ການຮຽນ...
ຄົນລາວ ຄວນຈະເອົາ ເປັນ ໂຕຢ່າງ ທີ່ດີ ... ແລະ ຢ່າຖຽງ ກັນ ຫລາຍ ..ອ່ານ ໜັງສືແດ່

ຂ້ອຍ ກະຊິໄປ ອ່ານ ໜັງສື ກ໋ອນ ...


__________________


Member

Status: Offline
Posts: 24
Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

สรุปแล้ว

วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ

 



ໄທຊອດລາວຫັ້ນຕີ້ຈຶງອ່ານພາສາລາວໄດ້ຮອດເຈັດບັນທັດນະ!dohbiggrin

 



รู้สึกดีที่หลาย ๆ   คน  เข้าใจความสำคัญของการอ่านมีความสำคัญที่จะช่วย พัฒนาคน  พัฒนาตนและพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรสืบไปได้อย่างไร  เป็นความภูมิใจและเห็นความดีกับของกระบวนการจัดการความรู้ของมิตรสหายต่างบ้านต่างเมือง  แต่ไม่ต่างความคิดในทางที่ถูกที่ควร   วันนี้ไทยอาจจะด้อยการอ่านจากข้อมูลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ ๗  บรรทัดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะไม่พัฒนาการอ่านงอกงามขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น    สิ่งเราเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่เราจะพยายามอ่านภาษาของเราให้มากขึ้น  พร้อม  ๆ  กับหัดเรียนรู้ภาษาทุก ๆ ชาติอย่างที่ใกล้ตัวเราพร้อมกับทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาต้องการสื่อความหมาย  จริงอยู่ข้าน้อยอาจจะอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งไม่ชำนาญเท่าท่าน(บางคน)  แต่ความพยายามที่จะอ่านภาษาทุกภาษาที่จะพอจะอ่านแล้วเข้าใจได้.............ดังที่ปรากฏแล้วนั้น

แต่ก็มีอีกบางคน ที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับสิ่งกล่าวไว้ในข้างต้น  ดังที่เห็นจากประโยคที่อ้างเอาไว้ข้างต้นนั้น   คงต้องปฏิเสธว่าการที่อ่านภาษาของลาวได้นั้น จำเป็นต้องเป็นลูกซอดลาว- ไทยเท่านั้นหรือ  หากคิดในทางกลับกัน การที่ในกระทู้นี้ได้คัดลอกสำเนาภาษาไทยมาแปะไว้หลายวรรคหลายตอน  หากท่านอ่านสิ่งเหล่านี้  ท่านจำเป็นต้องเป็นลูกซอดไทย - ลาว ด้วยหรือ    ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป   กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิด ซึ่งส่งผลให้อ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานนั้น  มิได้อุบัติเพียงจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดาเป็นสำคัญ   สิ่งเกิดขึ้นเป็นผลผลิตจากทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ  ความจำ ความเข้าใจต่างหาก  นี่คือสิ่งที่มนุษย์อาจจะต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกได้น้ำนมอื่น ๆ     อย่างนั้นหากอาศัยความคิดอันมิได้อยู่บนหลักความจริงแล้วไซร้    มนุษย์สั่งกระบือ ช้าง หรือม้าได้  แต่คงต้องเกิดจากลูกซอดระหว่างมนุษย์กับสัตว์พันธุ์อื่นเป็นแน่

หากมองโดยปราศจากความลำเอียงใด  การที่มีคนต่างประเทศ(ตามที่ท่านคิด)  สนใจภาษาของท่าน อ่านเข้าใจความหมาย การสื่อสารของท่าน  รับรู้ความรู้สึกของท่าน  เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของท่าน น่าจะเป็นเรื่องที่ภูมิใจของคนในชาตินั้น  เป็นเครื่องหมายรับรองความดี ความงามโดยแท้ของภาษาและวัฒนธรรมอันเอกลักษณ์ของชาติจะไม่มีวันล่มสลายไป  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เห็นดีเห็นงามร่วมกันมิใช่หรือ กลับกลายมาเป็นเรื่องสัพยอกกันด้วยเรื่องชาติกำเหนิด

ท้ายสุดไทยเองมิอาจจะยึดถือโดยแท้ได้เลยว่า เลือดในกายนี้บริสุทธิ์ด้วยความเป็นไทยเพียงอย่างเดียว ความผสมผสานชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษในกลุ่มคนของอุษาอาคเนย์  ลุ่มน้ำแม่โขงต่างหากที่เป็นจุดกำเนิดของเลือดในกายนี้   คนไทยยังพูดภาษาที่ท่านเข้าใจได้  คนลาวก็พูดภาษาที่ไทยเข้าใจได้  คนไทยยังกินปลาแดก  คนไทยยังกินตำส้ม  คนไทยยังนุ่งซิ่น  คนไทยยังกินข้าวเหนียว   คนไทยอยู่เรือนสูง   สายเลือดของบรรพบุรุษที่ดูเสมือนชาติพันธุ์เดียวกันยังคงแน่นแฟ้นมีจุดกำเนิดเดียวกัน     หากท่านจะแยกความเป็นไทเป็นคนต่างประเทศแล้วนั้น  ก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามความต้องการ................ตรงกันข้ามกับข้าพเจ้าที่คิดว่า ภูมิใจในความเป็นคนไทย  แต่ไม่เคยลืมเลือนหรือปฏิเสธ ความมีสายเลือดเดียวกับคนลาว  แม้นสักเพียงหยดหนึ่งในกาย
การอ่านภาษาลาวเพื่อรับรู้เรื่องของคนลาว ของเพื่อนมนุษยชาติ กลุ่มคนที่ใกล้ชิดกันมากที่ก็คงยังต้องดำเนินต่อไป ขออภัยด้วยจริง  ๆ........................อ่านผะหยาต่อไปนี้ คงยืนยันได้ว่าได้อ่านเกิน ๗ บรรทัดใน ๑ ปี

คนเฮานี้ ต้องเผิ่งอาศัยกัน
คือดังปลาอาศัยน้ำ น้ำกะเผิ่งวังปลา
ปลาอาศัยวังเวิน จึ่งล่องลอยนาน้ำ
ทามอาศัยห้วย งัว คว-ยอาศัยแอก
ตาแฮกอาศัยไก่ต้ม จึงโดนตุ้มจากคอน
คือดังคอนอาศัยไม้ นกใส่อาศัยโกน
คนกะอาศัยคน เผิ่งกันโดยด้าม
คามอาศัยหม้อ หมอ มอ อาศัยส่อง
ฆ้องอาศัยไม้ฆ้อน ตีต้องจึงค่อยดัง


สามัคคีกันไว้ คือข้าวเหนียวนึ่งใหม่
อย่าได้เพแตกม้าง คือน้ำถืกข้าวเหนียว
สามัคคีกันไว้ คือฝนแสนห่า
ตกลงมาจากฟ้า ไหลโฮมโห่งอยู่หนอง


เซื้อซาติแฮ้งอย่าเหม็นสาบกุยกัน
เกิดเป็นคนให้ฮักแพงกันไว้
ไผเฮ็ดดีให้ซอยยู้ ซอยซูอย่าหย่านลืน
ไผเฮ็ดผิดให้ซอยเว้า ไขแก้ดอกซอยกัน


 

 



ท่านเป็นคนที่มีหัวคิดก้าวหน้ามากครับ ประเทศใดมีบุคคลเช่นท่านอยู่สัก1/3ของประเทศ คงจะเจริญในไม่ช้า

 



__________________
Anonymous

Date:

5OCENT wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

สรุปแล้ว

วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ

 



ໄທຊອດລາວຫັ້ນຕີ້ຈຶງອ່ານພາສາລາວໄດ້ຮອດເຈັດບັນທັດນະ!dohbiggrin

 



รู้สึกดีที่หลาย ๆ   คน  เข้าใจความสำคัญของการอ่านมีความสำคัญที่จะช่วย พัฒนาคน  พัฒนาตนและพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรสืบไปได้อย่างไร  เป็นความภูมิใจและเห็นความดีกับของกระบวนการจัดการความรู้ของมิตรสหายต่างบ้านต่างเมือง  แต่ไม่ต่างความคิดในทางที่ถูกที่ควร   วันนี้ไทยอาจจะด้อยการอ่านจากข้อมูลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ ๗  บรรทัดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะไม่พัฒนาการอ่านงอกงามขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น    สิ่งเราเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่เราจะพยายามอ่านภาษาของเราให้มากขึ้น  พร้อม  ๆ  กับหัดเรียนรู้ภาษาทุก ๆ ชาติอย่างที่ใกล้ตัวเราพร้อมกับทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาต้องการสื่อความหมาย  จริงอยู่ข้าน้อยอาจจะอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งไม่ชำนาญเท่าท่าน(บางคน)  แต่ความพยายามที่จะอ่านภาษาทุกภาษาที่จะพอจะอ่านแล้วเข้าใจได้.............ดังที่ปรากฏแล้วนั้น

แต่ก็มีอีกบางคน ที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับสิ่งกล่าวไว้ในข้างต้น  ดังที่เห็นจากประโยคที่อ้างเอาไว้ข้างต้นนั้น   คงต้องปฏิเสธว่าการที่อ่านภาษาของลาวได้นั้น จำเป็นต้องเป็นลูกซอดลาว- ไทยเท่านั้นหรือ  หากคิดในทางกลับกัน การที่ในกระทู้นี้ได้คัดลอกสำเนาภาษาไทยมาแปะไว้หลายวรรคหลายตอน  หากท่านอ่านสิ่งเหล่านี้  ท่านจำเป็นต้องเป็นลูกซอดไทย - ลาว ด้วยหรือ    ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป   กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิด ซึ่งส่งผลให้อ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานนั้น  มิได้อุบัติเพียงจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดาเป็นสำคัญ   สิ่งเกิดขึ้นเป็นผลผลิตจากทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ  ความจำ ความเข้าใจต่างหาก  นี่คือสิ่งที่มนุษย์อาจจะต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกได้น้ำนมอื่น ๆ     อย่างนั้นหากอาศัยความคิดอันมิได้อยู่บนหลักความจริงแล้วไซร้    มนุษย์สั่งกระบือ ช้าง หรือม้าได้  แต่คงต้องเกิดจากลูกซอดระหว่างมนุษย์กับสัตว์พันธุ์อื่นเป็นแน่

หากมองโดยปราศจากความลำเอียงใด  การที่มีคนต่างประเทศ(ตามที่ท่านคิด)  สนใจภาษาของท่าน อ่านเข้าใจความหมาย การสื่อสารของท่าน  รับรู้ความรู้สึกของท่าน  เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของท่าน น่าจะเป็นเรื่องที่ภูมิใจของคนในชาตินั้น  เป็นเครื่องหมายรับรองความดี ความงามโดยแท้ของภาษาและวัฒนธรรมอันเอกลักษณ์ของชาติจะไม่มีวันล่มสลายไป  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เห็นดีเห็นงามร่วมกันมิใช่หรือ กลับกลายมาเป็นเรื่องสัพยอกกันด้วยเรื่องชาติกำเหนิด

ท้ายสุดไทยเองมิอาจจะยึดถือโดยแท้ได้เลยว่า เลือดในกายนี้บริสุทธิ์ด้วยความเป็นไทยเพียงอย่างเดียว ความผสมผสานชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษในกลุ่มคนของอุษาอาคเนย์  ลุ่มน้ำแม่โขงต่างหากที่เป็นจุดกำเนิดของเลือดในกายนี้   คนไทยยังพูดภาษาที่ท่านเข้าใจได้  คนลาวก็พูดภาษาที่ไทยเข้าใจได้  คนไทยยังกินปลาแดก  คนไทยยังกินตำส้ม  คนไทยยังนุ่งซิ่น  คนไทยยังกินข้าวเหนียว   คนไทยอยู่เรือนสูง   สายเลือดของบรรพบุรุษที่ดูเสมือนชาติพันธุ์เดียวกันยังคงแน่นแฟ้นมีจุดกำเนิดเดียวกัน     หากท่านจะแยกความเป็นไทเป็นคนต่างประเทศแล้วนั้น  ก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามความต้องการ................ตรงกันข้ามกับข้าพเจ้าที่คิดว่า ภูมิใจในความเป็นคนไทย  แต่ไม่เคยลืมเลือนหรือปฏิเสธ ความมีสายเลือดเดียวกับคนลาว  แม้นสักเพียงหยดหนึ่งในกาย
การอ่านภาษาลาวเพื่อรับรู้เรื่องของคนลาว ของเพื่อนมนุษยชาติ กลุ่มคนที่ใกล้ชิดกันมากที่ก็คงยังต้องดำเนินต่อไป ขออภัยด้วยจริง  ๆ........................อ่านผะหยาต่อไปนี้ คงยืนยันได้ว่าได้อ่านเกิน ๗ บรรทัดใน ๑ ปี

คนเฮานี้ ต้องเผิ่งอาศัยกัน
คือดังปลาอาศัยน้ำ น้ำกะเผิ่งวังปลา
ปลาอาศัยวังเวิน จึ่งล่องลอยนาน้ำ
ทามอาศัยห้วย งัว คว-ยอาศัยแอก
ตาแฮกอาศัยไก่ต้ม จึงโดนตุ้มจากคอน
คือดังคอนอาศัยไม้ นกใส่อาศัยโกน
คนกะอาศัยคน เผิ่งกันโดยด้าม
คามอาศัยหม้อ หมอ มอ อาศัยส่อง
ฆ้องอาศัยไม้ฆ้อน ตีต้องจึงค่อยดัง


สามัคคีกันไว้ คือข้าวเหนียวนึ่งใหม่
อย่าได้เพแตกม้าง คือน้ำถืกข้าวเหนียว
สามัคคีกันไว้ คือฝนแสนห่า
ตกลงมาจากฟ้า ไหลโฮมโห่งอยู่หนอง


เซื้อซาติแฮ้งอย่าเหม็นสาบกุยกัน
เกิดเป็นคนให้ฮักแพงกันไว้
ไผเฮ็ดดีให้ซอยยู้ ซอยซูอย่าหย่านลืน
ไผเฮ็ดผิดให้ซอยเว้า ไขแก้ดอกซอยกัน


 

 



ท่านเป็นคนที่มีหัวคิดก้าวหน้ามากครับ ประเทศใดมีบุคคลเช่นท่านอยู่สัก1/3ของประเทศ คงจะเจริญในไม่ช้า

 

 



ຂີ້ກາກເອີ້ຍມາດັດຈະລິດທຳທ່າເປັນໄທຢູ່ຫນີ້...ທຸ໊ຍໆໆໆ!

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

5OCENT wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

สรุปแล้ว

วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ

 



ໄທຊອດລາວຫັ້ນຕີ້ຈຶງອ່ານພາສາລາວໄດ້ຮອດເຈັດບັນທັດນະ!dohbiggrin

 



รู้สึกดีที่หลาย ๆ   คน  เข้าใจความสำคัญของการอ่านมีความสำคัญที่จะช่วย พัฒนาคน  พัฒนาตนและพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรสืบไปได้อย่างไร  เป็นความภูมิใจและเห็นความดีกับของกระบวนการจัดการความรู้ของมิตรสหายต่างบ้านต่างเมือง  แต่ไม่ต่างความคิดในทางที่ถูกที่ควร   วันนี้ไทยอาจจะด้อยการอ่านจากข้อมูลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ ๗  บรรทัดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะไม่พัฒนาการอ่านงอกงามขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น    สิ่งเราเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่เราจะพยายามอ่านภาษาของเราให้มากขึ้น  พร้อม  ๆ  กับหัดเรียนรู้ภาษาทุก ๆ ชาติอย่างที่ใกล้ตัวเราพร้อมกับทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาต้องการสื่อความหมาย  จริงอยู่ข้าน้อยอาจจะอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งไม่ชำนาญเท่าท่าน(บางคน)  แต่ความพยายามที่จะอ่านภาษาทุกภาษาที่จะพอจะอ่านแล้วเข้าใจได้.............ดังที่ปรากฏแล้วนั้น

แต่ก็มีอีกบางคน ที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับสิ่งกล่าวไว้ในข้างต้น  ดังที่เห็นจากประโยคที่อ้างเอาไว้ข้างต้นนั้น   คงต้องปฏิเสธว่าการที่อ่านภาษาของลาวได้นั้น จำเป็นต้องเป็นลูกซอดลาว- ไทยเท่านั้นหรือ  หากคิดในทางกลับกัน การที่ในกระทู้นี้ได้คัดลอกสำเนาภาษาไทยมาแปะไว้หลายวรรคหลายตอน  หากท่านอ่านสิ่งเหล่านี้  ท่านจำเป็นต้องเป็นลูกซอดไทย - ลาว ด้วยหรือ    ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป   กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิด ซึ่งส่งผลให้อ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานนั้น  มิได้อุบัติเพียงจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดาเป็นสำคัญ   สิ่งเกิดขึ้นเป็นผลผลิตจากทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ  ความจำ ความเข้าใจต่างหาก  นี่คือสิ่งที่มนุษย์อาจจะต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกได้น้ำนมอื่น ๆ     อย่างนั้นหากอาศัยความคิดอันมิได้อยู่บนหลักความจริงแล้วไซร้    มนุษย์สั่งกระบือ ช้าง หรือม้าได้  แต่คงต้องเกิดจากลูกซอดระหว่างมนุษย์กับสัตว์พันธุ์อื่นเป็นแน่

หากมองโดยปราศจากความลำเอียงใด  การที่มีคนต่างประเทศ(ตามที่ท่านคิด)  สนใจภาษาของท่าน อ่านเข้าใจความหมาย การสื่อสารของท่าน  รับรู้ความรู้สึกของท่าน  เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของท่าน น่าจะเป็นเรื่องที่ภูมิใจของคนในชาตินั้น  เป็นเครื่องหมายรับรองความดี ความงามโดยแท้ของภาษาและวัฒนธรรมอันเอกลักษณ์ของชาติจะไม่มีวันล่มสลายไป  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เห็นดีเห็นงามร่วมกันมิใช่หรือ กลับกลายมาเป็นเรื่องสัพยอกกันด้วยเรื่องชาติกำเหนิด

ท้ายสุดไทยเองมิอาจจะยึดถือโดยแท้ได้เลยว่า เลือดในกายนี้บริสุทธิ์ด้วยความเป็นไทยเพียงอย่างเดียว ความผสมผสานชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษในกลุ่มคนของอุษาอาคเนย์  ลุ่มน้ำแม่โขงต่างหากที่เป็นจุดกำเนิดของเลือดในกายนี้   คนไทยยังพูดภาษาที่ท่านเข้าใจได้  คนลาวก็พูดภาษาที่ไทยเข้าใจได้  คนไทยยังกินปลาแดก  คนไทยยังกินตำส้ม  คนไทยยังนุ่งซิ่น  คนไทยยังกินข้าวเหนียว   คนไทยอยู่เรือนสูง   สายเลือดของบรรพบุรุษที่ดูเสมือนชาติพันธุ์เดียวกันยังคงแน่นแฟ้นมีจุดกำเนิดเดียวกัน     หากท่านจะแยกความเป็นไทเป็นคนต่างประเทศแล้วนั้น  ก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามความต้องการ................ตรงกันข้ามกับข้าพเจ้าที่คิดว่า ภูมิใจในความเป็นคนไทย  แต่ไม่เคยลืมเลือนหรือปฏิเสธ ความมีสายเลือดเดียวกับคนลาว  แม้นสักเพียงหยดหนึ่งในกาย
การอ่านภาษาลาวเพื่อรับรู้เรื่องของคนลาว ของเพื่อนมนุษยชาติ กลุ่มคนที่ใกล้ชิดกันมากที่ก็คงยังต้องดำเนินต่อไป ขออภัยด้วยจริง  ๆ........................อ่านผะหยาต่อไปนี้ คงยืนยันได้ว่าได้อ่านเกิน ๗ บรรทัดใน ๑ ปี

คนเฮานี้ ต้องเผิ่งอาศัยกัน
คือดังปลาอาศัยน้ำ น้ำกะเผิ่งวังปลา
ปลาอาศัยวังเวิน จึ่งล่องลอยนาน้ำ
ทามอาศัยห้วย งัว คว-ยอาศัยแอก
ตาแฮกอาศัยไก่ต้ม จึงโดนตุ้มจากคอน
คือดังคอนอาศัยไม้ นกใส่อาศัยโกน
คนกะอาศัยคน เผิ่งกันโดยด้าม
คามอาศัยหม้อ หมอ มอ อาศัยส่อง
ฆ้องอาศัยไม้ฆ้อน ตีต้องจึงค่อยดัง


สามัคคีกันไว้ คือข้าวเหนียวนึ่งใหม่
อย่าได้เพแตกม้าง คือน้ำถืกข้าวเหนียว
สามัคคีกันไว้ คือฝนแสนห่า
ตกลงมาจากฟ้า ไหลโฮมโห่งอยู่หนอง


เซื้อซาติแฮ้งอย่าเหม็นสาบกุยกัน
เกิดเป็นคนให้ฮักแพงกันไว้
ไผเฮ็ดดีให้ซอยยู้ ซอยซูอย่าหย่านลืน
ไผเฮ็ดผิดให้ซอยเว้า ไขแก้ดอกซอยกัน


 

 



ท่านเป็นคนที่มีหัวคิดก้าวหน้ามากครับ ประเทศใดมีบุคคลเช่นท่านอยู่สัก1/3ของประเทศ คงจะเจริญในไม่ช้า

 

 



ຂີ້ກາກເອີ້ຍມາດັດຈະລິດທຳທ່າເປັນໄທຢູ່ຫນີ້...ທຸ໊ຍໆໆໆ!

 

ມັນຢາກຮຽນຢາກອ່ານລົ້ນຟ້າກໍ່ຢ່າແມ່ມັນນະແມ໋


 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

5OCENT wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

สรุปแล้ว

วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ

 



ໄທຊອດລາວຫັ້ນຕີ້ຈຶງອ່ານພາສາລາວໄດ້ຮອດເຈັດບັນທັດນະ!dohbiggrin

 



รู้สึกดีที่หลาย ๆ   คน  เข้าใจความสำคัญของการอ่านมีความสำคัญที่จะช่วย พัฒนาคน  พัฒนาตนและพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรสืบไปได้อย่างไร  เป็นความภูมิใจและเห็นความดีกับของกระบวนการจัดการความรู้ของมิตรสหายต่างบ้านต่างเมือง  แต่ไม่ต่างความคิดในทางที่ถูกที่ควร   วันนี้ไทยอาจจะด้อยการอ่านจากข้อมูลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ ๗  บรรทัดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะไม่พัฒนาการอ่านงอกงามขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น    สิ่งเราเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่เราจะพยายามอ่านภาษาของเราให้มากขึ้น  พร้อม  ๆ  กับหัดเรียนรู้ภาษาทุก ๆ ชาติอย่างที่ใกล้ตัวเราพร้อมกับทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาต้องการสื่อความหมาย  จริงอยู่ข้าน้อยอาจจะอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งไม่ชำนาญเท่าท่าน(บางคน)  แต่ความพยายามที่จะอ่านภาษาทุกภาษาที่จะพอจะอ่านแล้วเข้าใจได้.............ดังที่ปรากฏแล้วนั้น

แต่ก็มีอีกบางคน ที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับสิ่งกล่าวไว้ในข้างต้น  ดังที่เห็นจากประโยคที่อ้างเอาไว้ข้างต้นนั้น   คงต้องปฏิเสธว่าการที่อ่านภาษาของลาวได้นั้น จำเป็นต้องเป็นลูกซอดลาว- ไทยเท่านั้นหรือ  หากคิดในทางกลับกัน การที่ในกระทู้นี้ได้คัดลอกสำเนาภาษาไทยมาแปะไว้หลายวรรคหลายตอน  หากท่านอ่านสิ่งเหล่านี้  ท่านจำเป็นต้องเป็นลูกซอดไทย - ลาว ด้วยหรือ    ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป   กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิด ซึ่งส่งผลให้อ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานนั้น  มิได้อุบัติเพียงจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดาเป็นสำคัญ   สิ่งเกิดขึ้นเป็นผลผลิตจากทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ  ความจำ ความเข้าใจต่างหาก  นี่คือสิ่งที่มนุษย์อาจจะต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกได้น้ำนมอื่น ๆ     อย่างนั้นหากอาศัยความคิดอันมิได้อยู่บนหลักความจริงแล้วไซร้    มนุษย์สั่งกระบือ ช้าง หรือม้าได้  แต่คงต้องเกิดจากลูกซอดระหว่างมนุษย์กับสัตว์พันธุ์อื่นเป็นแน่

หากมองโดยปราศจากความลำเอียงใด  การที่มีคนต่างประเทศ(ตามที่ท่านคิด)  สนใจภาษาของท่าน อ่านเข้าใจความหมาย การสื่อสารของท่าน  รับรู้ความรู้สึกของท่าน  เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของท่าน น่าจะเป็นเรื่องที่ภูมิใจของคนในชาตินั้น  เป็นเครื่องหมายรับรองความดี ความงามโดยแท้ของภาษาและวัฒนธรรมอันเอกลักษณ์ของชาติจะไม่มีวันล่มสลายไป  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เห็นดีเห็นงามร่วมกันมิใช่หรือ กลับกลายมาเป็นเรื่องสัพยอกกันด้วยเรื่องชาติกำเหนิด

ท้ายสุดไทยเองมิอาจจะยึดถือโดยแท้ได้เลยว่า เลือดในกายนี้บริสุทธิ์ด้วยความเป็นไทยเพียงอย่างเดียว ความผสมผสานชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษในกลุ่มคนของอุษาอาคเนย์  ลุ่มน้ำแม่โขงต่างหากที่เป็นจุดกำเนิดของเลือดในกายนี้   คนไทยยังพูดภาษาที่ท่านเข้าใจได้  คนลาวก็พูดภาษาที่ไทยเข้าใจได้  คนไทยยังกินปลาแดก  คนไทยยังกินตำส้ม  คนไทยยังนุ่งซิ่น  คนไทยยังกินข้าวเหนียว   คนไทยอยู่เรือนสูง   สายเลือดของบรรพบุรุษที่ดูเสมือนชาติพันธุ์เดียวกันยังคงแน่นแฟ้นมีจุดกำเนิดเดียวกัน     หากท่านจะแยกความเป็นไทเป็นคนต่างประเทศแล้วนั้น  ก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามความต้องการ................ตรงกันข้ามกับข้าพเจ้าที่คิดว่า ภูมิใจในความเป็นคนไทย  แต่ไม่เคยลืมเลือนหรือปฏิเสธ ความมีสายเลือดเดียวกับคนลาว  แม้นสักเพียงหยดหนึ่งในกาย
การอ่านภาษาลาวเพื่อรับรู้เรื่องของคนลาว ของเพื่อนมนุษยชาติ กลุ่มคนที่ใกล้ชิดกันมากที่ก็คงยังต้องดำเนินต่อไป ขออภัยด้วยจริง  ๆ........................อ่านผะหยาต่อไปนี้ คงยืนยันได้ว่าได้อ่านเกิน ๗ บรรทัดใน ๑ ปี

คนเฮานี้ ต้องเผิ่งอาศัยกัน
คือดังปลาอาศัยน้ำ น้ำกะเผิ่งวังปลา
ปลาอาศัยวังเวิน จึ่งล่องลอยนาน้ำ
ทามอาศัยห้วย งัว คว-ยอาศัยแอก
ตาแฮกอาศัยไก่ต้ม จึงโดนตุ้มจากคอน
คือดังคอนอาศัยไม้ นกใส่อาศัยโกน
คนกะอาศัยคน เผิ่งกันโดยด้าม
คามอาศัยหม้อ หมอ มอ อาศัยส่อง
ฆ้องอาศัยไม้ฆ้อน ตีต้องจึงค่อยดัง


สามัคคีกันไว้ คือข้าวเหนียวนึ่งใหม่
อย่าได้เพแตกม้าง คือน้ำถืกข้าวเหนียว
สามัคคีกันไว้ คือฝนแสนห่า
ตกลงมาจากฟ้า ไหลโฮมโห่งอยู่หนอง


เซื้อซาติแฮ้งอย่าเหม็นสาบกุยกัน
เกิดเป็นคนให้ฮักแพงกันไว้
ไผเฮ็ดดีให้ซอยยู้ ซอยซูอย่าหย่านลืน
ไผเฮ็ดผิดให้ซอยเว้า ไขแก้ดอกซอยกัน


 

 



ท่านเป็นคนที่มีหัวคิดก้าวหน้ามากครับ ประเทศใดมีบุคคลเช่นท่านอยู่สัก1/3ของประเทศ คงจะเจริญในไม่ช้า

 

 



ຂີ້ກາກເອີ້ຍມາດັດຈະລິດທຳທ່າເປັນໄທຢູ່ຫນີ້...ທຸ໊ຍໆໆໆ!

 

ມັນຢາກຮຽນຢາກອ່ານລົ້ນຟ້າກໍ່ຢ່າແມ່ມັນນະແມ໋



ແມ່ນແລ້ວໃຜຊີຮຽນກະຢ່າຫົວມັນ ພວກເຮົາມາພາກັນໂງ່ງ່າວ ໃຫ້ເຂົາດູຖູກສະບາຍໃຈກວ່ານໍ ? ບໍ່ຮຽນ ບໍ່ຂຽນ ບໍ່ອ່ານ ແມ່ນເສັ້ນທາງແຫ່ງຄວາມໂງ່ 555555555555555

__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

5OCENT wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

Anonymous wrote:

 

สรุปแล้ว

วันนี้คนไทยอ่านภาษาลาวได้เกิน 7 บรรทัดแล้ว จากกระทู้นี้/  ขอบคุณครับ

 



ໄທຊອດລາວຫັ້ນຕີ້ຈຶງອ່ານພາສາລາວໄດ້ຮອດເຈັດບັນທັດນະ!dohbiggrin

 



รู้สึกดีที่หลาย ๆ   คน  เข้าใจความสำคัญของการอ่านมีความสำคัญที่จะช่วย พัฒนาคน  พัฒนาตนและพัฒนาประเทศชาติให้วัฒนาถาวรสืบไปได้อย่างไร  เป็นความภูมิใจและเห็นความดีกับของกระบวนการจัดการความรู้ของมิตรสหายต่างบ้านต่างเมือง  แต่ไม่ต่างความคิดในทางที่ถูกที่ควร   วันนี้ไทยอาจจะด้อยการอ่านจากข้อมูลการวิจัยว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ ๗  บรรทัดเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าภายภาคหน้าจะไม่พัฒนาการอ่านงอกงามขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น    สิ่งเราเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือการที่เราจะพยายามอ่านภาษาของเราให้มากขึ้น  พร้อม  ๆ  กับหัดเรียนรู้ภาษาทุก ๆ ชาติอย่างที่ใกล้ตัวเราพร้อมกับทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาต้องการสื่อความหมาย  จริงอยู่ข้าน้อยอาจจะอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งไม่ชำนาญเท่าท่าน(บางคน)  แต่ความพยายามที่จะอ่านภาษาทุกภาษาที่จะพอจะอ่านแล้วเข้าใจได้.............ดังที่ปรากฏแล้วนั้น

แต่ก็มีอีกบางคน ที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับสิ่งกล่าวไว้ในข้างต้น  ดังที่เห็นจากประโยคที่อ้างเอาไว้ข้างต้นนั้น   คงต้องปฏิเสธว่าการที่อ่านภาษาของลาวได้นั้น จำเป็นต้องเป็นลูกซอดลาว- ไทยเท่านั้นหรือ  หากคิดในทางกลับกัน การที่ในกระทู้นี้ได้คัดลอกสำเนาภาษาไทยมาแปะไว้หลายวรรคหลายตอน  หากท่านอ่านสิ่งเหล่านี้  ท่านจำเป็นต้องเป็นลูกซอดไทย - ลาว ด้วยหรือ    ซึ่งไม่จำเป็นที่ต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป   กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิด ซึ่งส่งผลให้อ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานนั้น  มิได้อุบัติเพียงจากการปฏิสนธิในครรภ์มารดาเป็นสำคัญ   สิ่งเกิดขึ้นเป็นผลผลิตจากทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน ความสนใจ  ความจำ ความเข้าใจต่างหาก  นี่คือสิ่งที่มนุษย์อาจจะต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกได้น้ำนมอื่น ๆ     อย่างนั้นหากอาศัยความคิดอันมิได้อยู่บนหลักความจริงแล้วไซร้    มนุษย์สั่งกระบือ ช้าง หรือม้าได้  แต่คงต้องเกิดจากลูกซอดระหว่างมนุษย์กับสัตว์พันธุ์อื่นเป็นแน่

หากมองโดยปราศจากความลำเอียงใด  การที่มีคนต่างประเทศ(ตามที่ท่านคิด)  สนใจภาษาของท่าน อ่านเข้าใจความหมาย การสื่อสารของท่าน  รับรู้ความรู้สึกของท่าน  เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของท่าน น่าจะเป็นเรื่องที่ภูมิใจของคนในชาตินั้น  เป็นเครื่องหมายรับรองความดี ความงามโดยแท้ของภาษาและวัฒนธรรมอันเอกลักษณ์ของชาติจะไม่มีวันล่มสลายไป  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี เห็นดีเห็นงามร่วมกันมิใช่หรือ กลับกลายมาเป็นเรื่องสัพยอกกันด้วยเรื่องชาติกำเหนิด

ท้ายสุดไทยเองมิอาจจะยึดถือโดยแท้ได้เลยว่า เลือดในกายนี้บริสุทธิ์ด้วยความเป็นไทยเพียงอย่างเดียว ความผสมผสานชาติพันธุ์ของบรรพบุรุษในกลุ่มคนของอุษาอาคเนย์  ลุ่มน้ำแม่โขงต่างหากที่เป็นจุดกำเนิดของเลือดในกายนี้   คนไทยยังพูดภาษาที่ท่านเข้าใจได้  คนลาวก็พูดภาษาที่ไทยเข้าใจได้  คนไทยยังกินปลาแดก  คนไทยยังกินตำส้ม  คนไทยยังนุ่งซิ่น  คนไทยยังกินข้าวเหนียว   คนไทยอยู่เรือนสูง   สายเลือดของบรรพบุรุษที่ดูเสมือนชาติพันธุ์เดียวกันยังคงแน่นแฟ้นมีจุดกำเนิดเดียวกัน     หากท่านจะแยกความเป็นไทเป็นคนต่างประเทศแล้วนั้น  ก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามความต้องการ................ตรงกันข้ามกับข้าพเจ้าที่คิดว่า ภูมิใจในความเป็นคนไทย  แต่ไม่เคยลืมเลือนหรือปฏิเสธ ความมีสายเลือดเดียวกับคนลาว  แม้นสักเพียงหยดหนึ่งในกาย
การอ่านภาษาลาวเพื่อรับรู้เรื่องของคนลาว ของเพื่อนมนุษยชาติ กลุ่มคนที่ใกล้ชิดกันมากที่ก็คงยังต้องดำเนินต่อไป ขออภัยด้วยจริง  ๆ........................อ่านผะหยาต่อไปนี้ คงยืนยันได้ว่าได้อ่านเกิน ๗ บรรทัดใน ๑ ปี

คนเฮานี้ ต้องเผิ่งอาศัยกัน
คือดังปลาอาศัยน้ำ น้ำกะเผิ่งวังปลา
ปลาอาศัยวังเวิน จึ่งล่องลอยนาน้ำ
ทามอาศัยห้วย งัว คว-ยอาศัยแอก
ตาแฮกอาศัยไก่ต้ม จึงโดนตุ้มจากคอน
คือดังคอนอาศัยไม้ นกใส่อาศัยโกน
คนกะอาศัยคน เผิ่งกันโดยด้าม
คามอาศัยหม้อ หมอ มอ อาศัยส่อง
ฆ้องอาศัยไม้ฆ้อน ตีต้องจึงค่อยดัง


สามัคคีกันไว้ คือข้าวเหนียวนึ่งใหม่
อย่าได้เพแตกม้าง คือน้ำถืกข้าวเหนียว
สามัคคีกันไว้ คือฝนแสนห่า
ตกลงมาจากฟ้า ไหลโฮมโห่งอยู่หนอง


เซื้อซาติแฮ้งอย่าเหม็นสาบกุยกัน
เกิดเป็นคนให้ฮักแพงกันไว้
ไผเฮ็ดดีให้ซอยยู้ ซอยซูอย่าหย่านลืน
ไผเฮ็ดผิดให้ซอยเว้า ไขแก้ดอกซอยกัน


 

 



ท่านเป็นคนที่มีหัวคิดก้าวหน้ามากครับ ประเทศใดมีบุคคลเช่นท่านอยู่สัก1/3ของประเทศ คงจะเจริญในไม่ช้า

 

 



ຂີ້ກາກເອີ້ຍມາດັດຈະລິດທຳທ່າເປັນໄທຢູ່ຫນີ້...ທຸ໊ຍໆໆໆ!

 

ມັນຢາກຮຽນຢາກອ່ານລົ້ນຟ້າກໍ່ຢ່າແມ່ມັນນະແມ໋



ແມ່ນແລ້ວໃຜຊີຮຽນກະຢ່າຫົວມັນ ພວກເຮົາມາພາກັນໂງ່ງ່າວ ໃຫ້ເຂົາດູຖູກສະບາຍໃຈກວ່ານໍ ? ບໍ່ຮຽນ ບໍ່ຂຽນ ບໍ່ອ່ານ ແມ່ນເສັ້ນທາງແຫ່ງຄວາມໂງ່ 555555555555555ຣະວັງເດີພວກເຈົ້າຜູ້ໃດ໋ເປັນຊາວໄຮ່ຊາວນາແລ້ວ ບໍ່ຮຽນ, ບໍ່ຂຽນແລະບໍ່ອ່ານ
ແລ້ວເຂົາຈະດູຖູກວ່າໂງ່ງ່າວ.   ບັກຮູຂີ້ ຂໍໂທດຫຍາບຄ່າຽໄປນ້ອຽ.



 



__________________
ຕູ້ສາ

Date:

ຊົມເຊີຍບັນດາລູກໆຫຼານໆທີ່ມາອ່ານໃນກະທູ້ນີ້... ເຫັນວ່າທຸກຄົນອ່ານເກີນ 7 ບັນທັດແລ້ວ! ອັນນີ້ຂະໜາດຊົ່ວໂມງດຽວຍັງ 7 ບັນທັດແລ້ວ ຄັນແມ່ນອ່ານ 1 ປີ ຈະຈັກພັນບັນທັດກັນແທ້!

ຊົມເຊີຍເດີ... ຍອດນັກອ່ານທັງຫຼາຍ!!!!


__________________
Anonymous

Date:

ຊົມເຊີຍບັນດາລູກໆຫຼານໆທີ່ມາອ່ານໃນກະທູ້ນີ້... ເຫັນວ່າທຸກຄົນອ່ານເກີນ 7 ບັນທັດແລ້ວ! ອັນນີ້ຂະໜາດຊົ່ວໂມງດຽວຍັງ 7 ບັນທັດແລ້ວ ຄັນແມ່ນອ່ານ 1 ປີ ຈະຈັກພັນບັນທັດກັນແທ້!

ຊົມເຊີຍເດີ... ຍອດນັກອ່ານທັງຫຼາຍ!!!!


******************************************************************

ຂອຂອບໃຈຫລາຍ    ທີ່ຊົມເຊີຍ

__________________
Anonymous

Date:

ພວກປັນຍາອ່ອນ bọn may rất là ngu

__________________
Salokkok.

Date:

Your house without the books
is same
Your room without the windows
.

__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

ຊົມເຊີຍບັນດາລູກໆຫຼານໆທີ່ມາອ່ານໃນກະທູ້ນີ້... ເຫັນວ່າທຸກຄົນອ່ານເກີນ 7 ບັນທັດແລ້ວ! ອັນນີ້ຂະໜາດຊົ່ວໂມງດຽວຍັງ 7 ບັນທັດແລ້ວ ຄັນແມ່ນອ່ານ 1 ປີ ຈະຈັກພັນບັນທັດກັນແທ້!

ຊົມເຊີຍເດີ... ຍອດນັກອ່ານທັງຫຼາຍ!!!!


******************************************************************

ຂອຂອບໃຈຫລາຍ    ທີ່ຊົມເຊີຍ



ອ່ານຫຼາຽ ໆແລ້ວຂໍໃຫ້ໄດ້ເປັນນາຍົກຣັຖມົນຕຣີຂອງລາວຄັ້ງຕໍ່ໄປເດີ!  ຊົມເຊີຽ ໝັ້ນຍືນ ໝັ້ນຍືນ ໝັ້ນຍືນ!!!

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

ພວກປັນຍາອ່ອນ bọn may rất là ngu



ໂຈ໋ຍແມ່ມຶງ to whom who wrote this

 



__________________
Superman

Date:

ພາສາຫວຽດແມ່ນບໍ່?

__________________
Anonymous

Date:

     ເວົ້າກັນດີ ໆ ບໍ່ໄດ້ບໍ່

__________________
Anonymous

Date:

ສາຍເຊລຳເພົາ(ເຂົ້າມາຢາມ) wrote:

ເມື່ອປີ 2003 ການສຳຫຼວດພົບວ່າ ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ, (ອ່ານຂໍ້ມູນລຸ່ມນີ້ ເພື່ອສັງເກດ)
เมื่อกันยายน 2546 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจการอ่านหนังสือของคนไทย พบคนไทย
อ่านหนังสือ 35.5 ล้านคน ขณะที่มีผู้ไม่อ่านหนังสือ 22.4 ล้านคน หรือเกือบ 40%

ผู้ไม่อ่านหนังสือ 22.4 ล้านคน เป็นเพศชาย 10.1 ล้านคน และเพศหญิง 12.3 ล้านคน
เหตุที่ไม่อ่านเพราะชอบฟังวิทยุ ดูทีวีมากกว่า ขณะที่เด็กอายุ 10-14 ปี ระบุชัดว่าไม่ชอบอ่าน และ
ไม่สนใจถึงกว่า 60%

ส่วนผู้อ่านหนังสือ 25.4 ล้านคน มีสัดส่วนของการอ่านหนังสือพิมพ์สูงที่สุด 66% รองลงมาคือ
อ่านนวนิยาย-การ์ตูน-หนังสืออ่านเล่น 44.6% และอ่านตำราเรียนตามหลักสูตร 40%

หากเทียบคนไทยกับต่างประเทศแล้วมีเพียงแค่ 5 เล่มต่อคนต่อปี นี่ยังไม่คิดถึงมาตรฐานความหนาบาง
ขนาดรูปเล่ม
สิงคโปร์ อ่าน 17 เล่มต่อคนต่อปี และสหรัฐอเมริกา 50 เล่มต่อคนต่อปี 

จากการสำรวจของยูเนสโกพบว่า คนไทยบริโภคกระดาษเพียง 13.1 ตันต่อปี ต่อ 1,000 คน
หากเปรียบเทียบกับคนสิงคโปร์หรือฮ่องกงแล้ว บริโภคถึง 98 ตันต่อปีต่อ 1,000 คน

ส่วนสถิติการใช้ห้องสมุดพบคนไทยต่ำกว่า 3% เข้าห้องสมุดประชาชน 1 ครั้ง 1 ปี และ
ต่ำกว่า 1% เป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน ทั้งประเทศเป็นสมาชิกห้องสมุดเพียง 420,000 คนเท่านั้น

ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ Positioning Magazine เดือนตุลาคม 2548 สำรวจพบว่า

คนไทยจำนวน 59.2 ล้านคน มีผู้อ่านหนังสือประมาณ 69.1% จำแนกเป็นชาย 51.1% และหญิง 48.5%
และจำนวน 59.2 ล้านคนนี้มีผู้ไม่อ่านหนังสือ 30.9% แยกเป็นชาย 28.4% และหญิง 33.3%

เฉพาะที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 สำรวจนักเรียนจำนวน 13,291 คน
อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รักการอ่าน และคิดไม่เป็น ร้อยละ 12

มหกรรมนักอ่าน ที่กระทรวงศึกษาธิการอุตส่าห์ลงทุนลงแรงจัดขึ้นในศูนย์แสดงสินค้าใหญ่ กทม.
เพื่อส่งเสริมนิสัยรักการเพิ่งจบไปนั้น ต้องขอบคุณนักวิจัยและข้อมูลทั้งหลาย ที่ต่างชี้ตรงกันว่าคนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ
โดยจากสถิติคนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อคนต่อปีเท่านั้น

จบมหกรรมนักอ่านนี้แล้ว หวังว่าคนไทยอ่านหนังสือมากกว่า 12 บรรทัดต่อคนต่อปีตามที่ตั้งเป้าไว้

ປັດຈຸບັນນີ້ ມີການສຳຫຼວດອີກພົບວ່າ ໄທຍ໌ໄດ້ສະຖີຕິໃໝ່ ແລະພັດທະນາຂຶ້ນຕາມລຳດັບ ເຖິງວ່າ ມັນເປັນສະຖີຕິນ້ອຍ ແຕ່ແນວໂນ້ມການອ່ານໜັງສືຂອງຄົນໄທຍ໌ເພີ່ມຂຶ້ນ (ອ່ານຂໍ້ມູນລຸ່ມນີ້)
สสส.ร่วมกับสมาคมผู้จัด พิมพ์ฯ สำรวจสถิติพบ คนไทยอ่านหนังสือแค่ปีละ 2 เล่ม ควักเงินซื้อหนังสือ แค่ 260 ต่อปี น้อยกว่าประเทศอื่นๆ หลายเท่า แม้แต่คู่แข่งอย่างเวียตนามยังอ่าน หนังสือประมาณปีละ 60 เล่ม
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายก รัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 12 ระหว่างวัน ที่ 17-28 ต.ค.จัดโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศ ไทย (ส.พ.จ.ท.) โดย นายกฯ กล่าวในระหว่างเป็นประธานเปิดงานว่า โดยส่วนตัวเห็น ว่า การให้ความรู้คนเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด และถือว่า การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์เป็นงานที่สำคัญกว่าการพัฒนาทรัพยากรอื่น ๆ ของประเทศ โดยจะต้องพัฒนาคน ให้มีคุณภาพใน 2 ส่วน คือ มีความรู้ทั่วไป ซึ่งก็ คือ ความรู้ในการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพและทำมาหากิน อีกส่วนคือ การพัฒนาด้านจิตใจ ซึ่งมักถูกมองข้ามในโลก ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเช่นปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการ จัดการศึกษา แต่กว่าที่การจัดการศึกษาของประเทศไทยจะได้มาตรฐานอย่างน้อยกินเวลา อีก 5 - 10 ปี จึงจะปรับปรุงขึ้นมาทัดเทียมกับประเทศคู่แข่ง ได้ แต่จริงๆ แล้ว การศึกษาใน ระบบโรงเรียนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาทั้งหมด ยังมีรูปแบบการจัดการศึกษาอื่นๆ อีก ซึ่งทุกฝ่ายสามารถมามีส่วนร่วม ช่วยพัฒนาในส่วนนี้ได้ ซึ่งรัฐบาลยินดีสนับสนุนภาคเอกชนให้ผลิตสื่อ หนังสือที่ หลากหลาย มีคุณภาพ ออกมาเพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้ความรู้แก่คนในสังคม เพื่อให้ สังคมไทยเป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา

ด้านนางริสรวล อร่ามเจริญ นายก ส.พ.จ.ท. กล่าวว่า มหกรรม หนังสือระดับชาติครั้งนี้ มี สำนักพิมพ์เข้าร่วมมากที่สุดถึง 408 สำนักพิมพ์ ออกบูธ 819 บูธ ซึ่งถือว่า มี จำนวนบูธมากที่สุดตั้งแต่จัดงานมา และคาดว่า จะมีประชาชนมาเที่ยวชมงานไม่ต่ำ กว่า 1.2 ล้านคน ทั้งนี้มหกรรมฯครั้งนี้ ได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี 2550 จึงได้นำหลัก การทรงงานของในหลวง 23 ประการ มาจัดเป็นนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับ รู้ถึงแนวคิดหลักการทรงงานของพระองค์ พร้อมทั้งจัดพิมพ์โปสเตอร์หลักการทรงงาน ของในหลวงจำนวน 100,000 แผ่น มาแจกประชาชนที่มาร่วมงานด้วย โดนแจกในงาน 50,000 แผ่น และเผยแพร่ให้ประชาชนผ่านร้านหนังสือที่เข้าร่วมโครงการมหกรรมหนังสือทั่ว ประเทศอีก 50,000 แผ่น

อย่างไรก็ตาม แม้ ว่า ธุรกิจ หนังสือมีอัตราการเจริญเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 นับตั้งแต่ปี 2546 -2549 แต่ ปัจจุบันมีหนังสือใหม่ที่เข้าสู่ร้านหนังสือแค่ 934 เรื่องต่อเดือน เป็นอัตรา ที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว 5-10 เท่า อย่าง ประเทศไต้หวันที่มีหนังสือออกสู่ตลาด มากสุด มีหนังสือใหม่ถึงเดือนกว่าเกือบ 10,000 รายการ ยังไม่คิดถึงว่า หนังสือ บางรายการมียอดพิมพ์และจำหน่ายได้มีมาก

นอกจากนั้น สมาคมฯ ได้ร่วมกับสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) สำรวจข้อมูลจากในกทม.และตัวเมืองใหญ่ พบว่า คน ไทยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือปีละแค่ 2 เล่ม ใช้เงินซื้อหนังสือต่อคนปีละ ประมาณ 260 บาท ซึ่งถือว่า น้อย มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างประเทศสิงคโปร์ มีสถิติคนอ่านหนังสือประมาณ 40-50 เล่มต่อปี หรืออย่าง เวียตนามคู่แข่งของประเทศไทย อ่านหนังสือประมาณ 60 เล่มต่อปี

นางริสรวล กล่าว ต่อว่า สาเหตุที่คนไทยอ่าหนังสือแค่ปี ละ 2 เล่ม นั้น ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยชอบฟัง ดู มากกว่าอ่าน ประกอบการกับขยายตัวของธุรกิจบันเทิงทั้งโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต เกมคอมพิวเตอร์ และสถานบันเทิงต่าง ๆ มาช่วงชิงเวลาอ่านหนังสือของคนไทยไป ดังนั้น ภาครัฐจึงควรมีนโยบายสนับสนุนสำนักพิมพ์ในประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ให้ ผลิตหนังสือที่หลากหลายและจำเป็นในสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมการอ่านอย่าง จริงจังด้วย ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับเครือข่าย 32 องค์กร ยื่นหนังสือเรียกร้อง ให้รัฐบาลประกาศวาระชาติในเรื่องการอ่านหนังสือ โดยมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกฯ เป็นผู้แทนมารับหนังสือเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ ผ่านมา ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“เราต้องการให้รัฐบาลรีบประกาศให้ การอ่านเป็นวาระชาติ และตั้งกรรมการระดับชาติขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ และให้นำดัชนี การอ่านมาเป็นประกอบกับ GDP ในการชี้วัดการเจริญเติบโตของ ประเทศด้วย เพราะการเจริญเติบโต ของประเทศจะยั่งยืนได้ ต้องมีคุณภาพทางปัญญาด้วย และให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้ หน่วยงานส่งเสริมการอ่านอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้รัฐร่วมกับภาคเอกชน พัฒนาระบบ การอ่านสาธารณะ โดยปรับปรุงห้องสมุดต่าง ๆ ที่มีอยู่ และให้ทุกองค์กร รวมทั้ง สถานประกอบการที่มีจำนวนคนงานมากพอสมควร จัดตั้งห้องสมุดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการ อ่าน นอกจากนั้น รัฐบาลควรใช้สำนักพิมพ์ฯมาช่วยในการพัฒนาคนไทยในอนาคตให้มี คุณลักษณะตรงตามที่ต้องการ โดยให้นักวิชาการไปวิจัยมาว่า เราต้องการพลเมืองที่ มีคุณสมบัติความสามารถใดบ้าง หรือคนไทยมีจุดอ่อนด้านใดอยู่ แล้วส่งข้อมูลดัง กล่าวให้สำนักพิมพ์ฯ ช่วยกันผลิตหนังสือมาลบจุดอ่อนคนไทย และขับเคลื่อนให้คนไทย มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ” นางริสรวล กล่าว

ข้อมูลจาก : สำนักข่าวเนชั่น , สสส. www.thaihealth.or.th
- ເມື່ອອ່ານບົດຄວາມສອງບົດຈົບລົງແລ້ວ ເຫັນວ່າການອ່ານໜັງສືຂອງຄົນໄທຍ໌ ມີການຂະຫຍາຍຕົວຂຶ້ນ, ແຕ່ເມື່ອທຽບມໃສປະເທດສິງກະໂປ ແລະຫວຽດນາມແລ້ວ ແມ່ນເປັນສະຖີຕິນ້ອຍທີ່ສຸດ. ແຕ່ກໍຍັງດີ ຈາກປີ 2003 ຫາ ປີ 2006 ມີພຽງ 3 ປີເທົ່ານັ້ນ ຄົນໄທຍ໌ສາມາດພັດທະນາການອ່ານໄວປານນັ້ນ ຍົກມືໃຫ້.
- ແຕ່ວ່າ ເມື່ອມາເບິ່ງເບື້ອງຂອງປະເທດລາວເຮົານັ້ນ ບໍ່ມີສະຖີຕິຂອງການອ່ານໜັງສື ຕິດອັນດັບກັບເຂົາເລີຍ.
- ແລ້ວຄົນລາວເຮົາ ຊິພັດທະນາໄດ້ຈັ່ງໃດ ເມື່ອບໍ່ມັກອ່ານໜັງສືລະ ?
- ທາງໄທຍ໌ ເຂົາສະຫຼຸບອອກມາວ່າ ເຫດທີ່ຄົນໄທຍ໌ບໍ່ມັກອ່ານໜັງສື ເພາະ
ກ. ເບິ່ງທີວີ ແລະຟັງວິທະຍຸ.
- ຄົນລາວເຮົາ ສ່ວນຫຼາຍກໍອາດເຊັ່ນກັນ ຄື ເບິ່ງທີວີ ແລະວິທະຍຸ ແຕ່ວ່າ ລາວເຮົານັ້ນ ພັດເບິ່ງທີວີຂອງໄທຍ໌ ແລະຕ່າງປະເທດ ແລະຟັງວິທະຍຸໄທຍ໌ຫຼາຍກວ່າ ຄັນມັນເປັນຈັ່ງ ຊີ້ ນິໄສຄົນລາວ ຈະເປັນຈັ່ງໃດ ? (ຫ້າມກຽດໂຕກິນນໍ້າເດັດຂາດ ອິອິອິ)

(ບົດຄວາມນີ້ ເປັນບົດປຽບທຽບເພື່ອການສຶກສາເທົ່ານັ້ນ ບໍ່ໄດ້ມີຈຸດປະສົງອື່ນໃດເລີຍ)



Please do not worry too much about brotherthais, either way they still better than us lao ok, what we need to do is: look at our own back yard..... that's all we need....

 



__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

 

ສາຍເຊລຳເພົາ(ເຂົ້າມາຢາມ) wrote:

ເມື່ອປີ 2003 ການສຳຫຼວດພົບວ່າ ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ, (ອ່ານຂໍ້ມູນລຸ່ມນີ້ ເພື່ອສັງເກດ)
เมื่อกันยายน 2546 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจการอ่านหนังสือของคนไทย พบคนไทย
อ่านหนังสือ 35.5 ล้านคน ขณะที่มีผู้ไม่อ่านหนังสือ 22.4 ล้านคน หรือเกือบ 40%

ผู้ไม่อ่านหนังสือ 22.4 ล้านคน เป็นเพศชาย 10.1 ล้านคน และเพศหญิง 12.3 ล้านคน
เหตุที่ไม่อ่านเพราะชอบฟังวิทยุ ดูทีวีมากกว่า ขณะที่เด็กอายุ 10-14 ปี ระบุชัดว่าไม่ชอบอ่าน และ
ไม่สนใจถึงกว่า 60%

ส่วนผู้อ่านหนังสือ 25.4 ล้านคน มีสัดส่วนของการอ่านหนังสือพิมพ์สูงที่สุด 66% รองลงมาคือ
อ่านนวนิยาย-การ์ตูน-หนังสืออ่านเล่น 44.6% และอ่านตำราเรียนตามหลักสูตร 40%

หากเทียบคนไทยกับต่างประเทศแล้วมีเพียงแค่ 5 เล่มต่อคนต่อปี นี่ยังไม่คิดถึงมาตรฐานความหนาบาง
ขนาดรูปเล่ม
สิงคโปร์ อ่าน 17 เล่มต่อคนต่อปี และสหรัฐอเมริกา 50 เล่มต่อคนต่อปี 

จากการสำรวจของยูเนสโกพบว่า คนไทยบริโภคกระดาษเพียง 13.1 ตันต่อปี ต่อ 1,000 คน
หากเปรียบเทียบกับคนสิงคโปร์หรือฮ่องกงแล้ว บริโภคถึง 98 ตันต่อปีต่อ 1,000 คน

ส่วนสถิติการใช้ห้องสมุดพบคนไทยต่ำกว่า 3% เข้าห้องสมุดประชาชน 1 ครั้ง 1 ปี และ
ต่ำกว่า 1% เป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน ทั้งประเทศเป็นสมาชิกห้องสมุดเพียง 420,000 คนเท่านั้น

ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติ และ Positioning Magazine เดือนตุลาคม 2548 สำรวจพบว่า

คนไทยจำนวน 59.2 ล้านคน มีผู้อ่านหนังสือประมาณ 69.1% จำแนกเป็นชาย 51.1% และหญิง 48.5%
และจำนวน 59.2 ล้านคนนี้มีผู้ไม่อ่านหนังสือ 30.9% แยกเป็นชาย 28.4% และหญิง 33.3%

เฉพาะที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 สำรวจนักเรียนจำนวน 13,291 คน
อ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่รักการอ่าน และคิดไม่เป็น ร้อยละ 12

มหกรรมนักอ่าน ที่กระทรวงศึกษาธิการอุตส่าห์ลงทุนลงแรงจัดขึ้นในศูนย์แสดงสินค้าใหญ่ กทม.
เพื่อส่งเสริมนิสัยรักการเพิ่งจบไปนั้น ต้องขอบคุณนักวิจัยและข้อมูลทั้งหลาย ที่ต่างชี้ตรงกันว่าคนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ
โดยจากสถิติคนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อคนต่อปีเท่านั้น

จบมหกรรมนักอ่านนี้แล้ว หวังว่าคนไทยอ่านหนังสือมากกว่า 12 บรรทัดต่อคนต่อปีตามที่ตั้งเป้าไว้

ປັດຈຸບັນນີ້ ມີການສຳຫຼວດອີກພົບວ່າ ໄທຍ໌ໄດ້ສະຖີຕິໃໝ່ ແລະພັດທະນາຂຶ້ນຕາມລຳດັບ ເຖິງວ່າ ມັນເປັນສະຖີຕິນ້ອຍ ແຕ່ແນວໂນ້ມການອ່ານໜັງສືຂອງຄົນໄທຍ໌ເພີ່ມຂຶ້ນ (ອ່ານຂໍ້ມູນລຸ່ມນີ້)
สสส.ร่วมกับสมาคมผู้จัด พิมพ์ฯ สำรวจสถิติพบ คนไทยอ่านหนังสือแค่ปีละ 2 เล่ม ควักเงินซื้อหนังสือ แค่ 260 ต่อปี น้อยกว่าประเทศอื่นๆ หลายเท่า แม้แต่คู่แข่งอย่างเวียตนามยังอ่าน หนังสือประมาณปีละ 60 เล่ม
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายก รัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 12 ระหว่างวัน ที่ 17-28 ต.ค.จัดโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศ ไทย (ส.พ.จ.ท.) โดย นายกฯ กล่าวในระหว่างเป็นประธานเปิดงานว่า โดยส่วนตัวเห็น ว่า การให้ความรู้คนเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด และถือว่า การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์เป็นงานที่สำคัญกว่าการพัฒนาทรัพยากรอื่น ๆ ของประเทศ โดยจะต้องพัฒนาคน ให้มีคุณภาพใน 2 ส่วน คือ มีความรู้ทั่วไป ซึ่งก็ คือ ความรู้ในการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพและทำมาหากิน อีกส่วนคือ การพัฒนาด้านจิตใจ ซึ่งมักถูกมองข้ามในโลก ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเช่นปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการ จัดการศึกษา แต่กว่าที่การจัดการศึกษาของประเทศไทยจะได้มาตรฐานอย่างน้อยกินเวลา อีก 5 - 10 ปี จึงจะปรับปรุงขึ้นมาทัดเทียมกับประเทศคู่แข่ง ได้ แต่จริงๆ แล้ว การศึกษาใน ระบบโรงเรียนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบการศึกษาทั้งหมด ยังมีรูปแบบการจัดการศึกษาอื่นๆ อีก ซึ่งทุกฝ่ายสามารถมามีส่วนร่วม ช่วยพัฒนาในส่วนนี้ได้ ซึ่งรัฐบาลยินดีสนับสนุนภาคเอกชนให้ผลิตสื่อ หนังสือที่ หลากหลาย มีคุณภาพ ออกมาเพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้ความรู้แก่คนในสังคม เพื่อให้ สังคมไทยเป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา

ด้านนางริสรวล อร่ามเจริญ นายก ส.พ.จ.ท. กล่าวว่า มหกรรม หนังสือระดับชาติครั้งนี้ มี สำนักพิมพ์เข้าร่วมมากที่สุดถึง 408 สำนักพิมพ์ ออกบูธ 819 บูธ ซึ่งถือว่า มี จำนวนบูธมากที่สุดตั้งแต่จัดงานมา และคาดว่า จะมีประชาชนมาเที่ยวชมงานไม่ต่ำ กว่า 1.2 ล้านคน ทั้งนี้มหกรรมฯครั้งนี้ ได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี 2550 จึงได้นำหลัก การทรงงานของในหลวง 23 ประการ มาจัดเป็นนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับ รู้ถึงแนวคิดหลักการทรงงานของพระองค์ พร้อมทั้งจัดพิมพ์โปสเตอร์หลักการทรงงาน ของในหลวงจำนวน 100,000 แผ่น มาแจกประชาชนที่มาร่วมงานด้วย โดนแจกในงาน 50,000 แผ่น และเผยแพร่ให้ประชาชนผ่านร้านหนังสือที่เข้าร่วมโครงการมหกรรมหนังสือทั่ว ประเทศอีก 50,000 แผ่น

อย่างไรก็ตาม แม้ ว่า ธุรกิจ หนังสือมีอัตราการเจริญเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 นับตั้งแต่ปี 2546 -2549 แต่ ปัจจุบันมีหนังสือใหม่ที่เข้าสู่ร้านหนังสือแค่ 934 เรื่องต่อเดือน เป็นอัตรา ที่ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้ว 5-10 เท่า อย่าง ประเทศไต้หวันที่มีหนังสือออกสู่ตลาด มากสุด มีหนังสือใหม่ถึงเดือนกว่าเกือบ 10,000 รายการ ยังไม่คิดถึงว่า หนังสือ บางรายการมียอดพิมพ์และจำหน่ายได้มีมาก

นอกจากนั้น สมาคมฯ ได้ร่วมกับสำนักงาน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) สำรวจข้อมูลจากในกทม.และตัวเมืองใหญ่ พบว่า คน ไทยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือปีละแค่ 2 เล่ม ใช้เงินซื้อหนังสือต่อคนปีละ ประมาณ 260 บาท ซึ่งถือว่า น้อย มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ อย่างประเทศสิงคโปร์ มีสถิติคนอ่านหนังสือประมาณ 40-50 เล่มต่อปี หรืออย่าง เวียตนามคู่แข่งของประเทศไทย อ่านหนังสือประมาณ 60 เล่มต่อปี

นางริสรวล กล่าว ต่อว่า สาเหตุที่คนไทยอ่าหนังสือแค่ปี ละ 2 เล่ม นั้น ส่วนหนึ่งเพราะคนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยชอบฟัง ดู มากกว่าอ่าน ประกอบการกับขยายตัวของธุรกิจบันเทิงทั้งโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต เกมคอมพิวเตอร์ และสถานบันเทิงต่าง ๆ มาช่วงชิงเวลาอ่านหนังสือของคนไทยไป ดังนั้น ภาครัฐจึงควรมีนโยบายสนับสนุนสำนักพิมพ์ในประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ให้ ผลิตหนังสือที่หลากหลายและจำเป็นในสังคม ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมการอ่านอย่าง จริงจังด้วย ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ร่วมกับเครือข่าย 32 องค์กร ยื่นหนังสือเรียกร้อง ให้รัฐบาลประกาศวาระชาติในเรื่องการอ่านหนังสือ โดยมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกฯ เป็นผู้แทนมารับหนังสือเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ ผ่านมา ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

“เราต้องการให้รัฐบาลรีบประกาศให้ การอ่านเป็นวาระชาติ และตั้งกรรมการระดับชาติขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ และให้นำดัชนี การอ่านมาเป็นประกอบกับ GDP ในการชี้วัดการเจริญเติบโตของ ประเทศด้วย เพราะการเจริญเติบโต ของประเทศจะยั่งยืนได้ ต้องมีคุณภาพทางปัญญาด้วย และให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้ หน่วยงานส่งเสริมการอ่านอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้รัฐร่วมกับภาคเอกชน พัฒนาระบบ การอ่านสาธารณะ โดยปรับปรุงห้องสมุดต่าง ๆ ที่มีอยู่ และให้ทุกองค์กร รวมทั้ง สถานประกอบการที่มีจำนวนคนงานมากพอสมควร จัดตั้งห้องสมุดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการ อ่าน นอกจากนั้น รัฐบาลควรใช้สำนักพิมพ์ฯมาช่วยในการพัฒนาคนไทยในอนาคตให้มี คุณลักษณะตรงตามที่ต้องการ โดยให้นักวิชาการไปวิจัยมาว่า เราต้องการพลเมืองที่ มีคุณสมบัติความสามารถใดบ้าง หรือคนไทยมีจุดอ่อนด้านใดอยู่ แล้วส่งข้อมูลดัง กล่าวให้สำนักพิมพ์ฯ ช่วยกันผลิตหนังสือมาลบจุดอ่อนคนไทย และขับเคลื่อนให้คนไทย มีคุณลักษณะตามที่ต้องการ” นางริสรวล กล่าว

ข้อมูลจาก : สำนักข่าวเนชั่น , สสส. www.thaihealth.or.th
- ເມື່ອອ່ານບົດຄວາມສອງບົດຈົບລົງແລ້ວ ເຫັນວ່າການອ່ານໜັງສືຂອງຄົນໄທຍ໌ ມີການຂະຫຍາຍຕົວຂຶ້ນ, ແຕ່ເມື່ອທຽບມໃສປະເທດສິງກະໂປ ແລະຫວຽດນາມແລ້ວ ແມ່ນເປັນສະຖີຕິນ້ອຍທີ່ສຸດ. ແຕ່ກໍຍັງດີ ຈາກປີ 2003 ຫາ ປີ 2006 ມີພຽງ 3 ປີເທົ່ານັ້ນ ຄົນໄທຍ໌ສາມາດພັດທະນາການອ່ານໄວປານນັ້ນ ຍົກມືໃຫ້.
- ແຕ່ວ່າ ເມື່ອມາເບິ່ງເບື້ອງຂອງປະເທດລາວເຮົານັ້ນ ບໍ່ມີສະຖີຕິຂອງການອ່ານໜັງສື ຕິດອັນດັບກັບເຂົາເລີຍ.
- ແລ້ວຄົນລາວເຮົາ ຊິພັດທະນາໄດ້ຈັ່ງໃດ ເມື່ອບໍ່ມັກອ່ານໜັງສືລະ ?
- ທາງໄທຍ໌ ເຂົາສະຫຼຸບອອກມາວ່າ ເຫດທີ່ຄົນໄທຍ໌ບໍ່ມັກອ່ານໜັງສື ເພາະ
ກ. ເບິ່ງທີວີ ແລະຟັງວິທະຍຸ.
- ຄົນລາວເຮົາ ສ່ວນຫຼາຍກໍອາດເຊັ່ນກັນ ຄື ເບິ່ງທີວີ ແລະວິທະຍຸ ແຕ່ວ່າ ລາວເຮົານັ້ນ ພັດເບິ່ງທີວີຂອງໄທຍ໌ ແລະຕ່າງປະເທດ ແລະຟັງວິທະຍຸໄທຍ໌ຫຼາຍກວ່າ ຄັນມັນເປັນຈັ່ງ ຊີ້ ນິໄສຄົນລາວ ຈະເປັນຈັ່ງໃດ ? (ຫ້າມກຽດໂຕກິນນໍ້າເດັດຂາດ ອິອິອິ)

(ບົດຄວາມນີ້ ເປັນບົດປຽບທຽບເພື່ອການສຶກສາເທົ່ານັ້ນ ບໍ່ໄດ້ມີຈຸດປະສົງອື່ນໃດເລີຍ)



Please do not worry too much about brotherthais, either way they still better than us lao ok, what we need to do is: look at our own back yard..... that's all we need....
- ເປັນຄວາມຄິດທີ່ດີ ແລະເຂົ້າໃຈເລື່ອງລາວໄດ້ດີ

 



__________________
Anonymous

Date:

ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ
เบิ่งฮูบเงาโป๊อาทิดละ7 คั้ง
สี่กันมื้อละ 7 เถื่อ
..ลูกออกมาสายตาสั่นเต็มบ้าน ย้อนสี่กันมาแต่น้อย...
กร๊ากกกกกกกกกกกกก !!!

__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ
เบิ่งฮูบเงาโป๊อาทิดละ7 คั้ง
สี่กันมื้อละ 7 เถื่อ
..ลูกออกมาสายตาสั่นเต็มบ้าน ย้อนสี่กันมาแต่น้อย...
กร๊ากกกกกกกกกกกกก !!!



55555555 55555555555

 



__________________
Anonymous

Date:

เขียนได้หยาบคายดีนี่
ทำต่อไปเถอะ
มันเหมาะกับคุณแล้วละ

__________________
Anonymous

Date:

Anonymous wrote:

ຄົນໄທຍ໌ອ່ານໜັງສື ປີລະ 7 ບັນທັດ
เบิ่งฮูบเงาโป๊อาทิดละ7 คั้ง
สี่กันมื้อละ 7 เถื่อ
..ลูกออกมาสายตาสั่นเต็มบ้าน ย้อนสี่กันมาแต่น้อย...
กร๊ากกกกกกกกกกกกก !!!





เขียนได้หยาบคายดี
ทำต่อไปเถอะ
มันเหมาะกับคุณแล้วละ



__________________
Page 1 of 1  sorted by
Quick Reply

Please log in to post quick replies.



Create your own FREE Forum
Report Abuse
Powered by ActiveBoard