ภูเก็ต
เยาวราช (กรุงเทพฯ)
เชียงใหม่
หาดใหญ่ (สงขลา)
นครราชสีมา
ຕາມທີ່ຂ້ານ້ອຍເຂົ້າໃຈ Vegetarian ໝາຍເຖິງ ມັງສາວິຣັຕ ຫຼື ຜູ່ບໍ່ກິນເນື້ອ.
ບາງຄົນຖືສິນບໍ່ກິນເນື້ອຫຼືສິ່ງທີ່ເກີດຈາກເນື້ອເຊັ່ນ ໄຂ່ແລະນົມ ບາງຄົນກໍ່ບໍ່ກິນ
ພືດທີ່ມີກິ່ນເຊັ່ນ ຜັກບົ່ວ ຜັກທຽມ.
ພວກທີ່ບໍ່ກິນເນື້ອສ່ວນຫຼາຍຈະເຫັນແຕ່ພວກຖືສາສນາພຸທນິກາຍມະຫາຍານ
ສ່ວນພວກຖືຫິນະຍານຈະບໍ່ຄະລໍາເນື້ອ, ແມ່ນບໍ່? ຂອບໃຈ
มังสวิรัต
คืออาหารจำพวกผักและผลไม้ ซึ่งทำให้ได้รับกากใยอาหาร ซึ่งช่วยในการขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกายได้ดี นิยมในคนวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เนื่องจากมักจะมีปัญหาเรื่องอาการท้องผูก และมี ปัญหาเรื่องไขมันในเส้นเลือดสูงแล้ว อาหารมังสวิรัตินั้นจะไม่มีเนื้อสัตว์เลย เนื่องจากในเนื้อสัตว์มักจะมีไขมัน และน้ำมันจากสัตว์ปะปนอยู่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น และอาจเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ
คำว่า "มังสวิรัติ" นั้นเป็นคำสมาส มาจากคำว่า มังสะ แปลว่า เนื้อ รวมกับ วิรัติ แปลว่า ปราศจากความยินดีหรือละเว้น ดังนั้น มังสวิรัติ จึงแปลว่า ปราศจากความยินดีที่จะกินเนื้อสัตว์
อาหารที่พวกมังสวิรัตินิยมรับประทานกัน ส่วนใหญ่จะประกอบด้วย ข้าว และผลิตภัณฑ์จากข้าว หรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ หรือเมล็ด เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
อาหารมังสวิรัตินั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
มังสวิรัติประเภทเคร่งครัด เป็นมังสวิรัติที่กินอาหารจำพวกพืชผักผลไม้เพียงอย่างเดียว ไม่มีอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไข่ นม หรือ ผลิตภัณฑ์จากไข่และนม เป็นส่วนประกอบของอาหารนั้นๆเลย
มังสวิรัติประเภทที่มีการดื่มนม เป็นมังสวิรัติที่จะมีนมและผลิตภัณฑ์ของนมนอกเหนือจากพืชผักผลไม้ แต่ไม่มีเนื้อสัตว์และไข่เป็นส่วนประกอบของอาหาร
มังสวิรัติประเภทดื่มนมและกินไข่ อาหารมังสวิรัติประเภทนี้มีไข่ นม และผลิตภัณฑ์ของนมนอกเหนือจากอาหารจากพืช แต่ไม่มีเนื้อสัตว์เลย
จะเห็นได้ว่า มังสวิรัติทั้ง 3 ประเภทนี้ จะไม่มีอาหารหรือส่วนประกอบที่มาจากเนื้อสัตว์เลย แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีเนื้อสัตว์เลย แต่ก็มิได้หมายความว่าจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารประเภทโปรตีน แต่คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติสามารถได้รับสารอาหารประเภทโปรตีนจากอาหารจำพวกถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลิสง เป็นต้น
ส่วนใหญ่ พบว่า ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เบาหวาน และอ้วน ผลการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ พบผู้ที่เป็นมังสวิรัติเคร่งครัดมีภาวะพร่องของ วิตามินบี 12 และแร่ธาตุเหล็ก โดยเฉพาะที่เป็นมังสวิรัติเคร่งครัดเป็นเวลานาน ๆ และการมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก[1]
อาหารเจคืออะไร
คำว่า “กินเจ” คือ ไม่คาว หรือถ้าแปลตามตัวจะหมายถึง การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ซึ่งในความหมายของชาวพุทธ ก็คือการรักษาศีล นั่นเอง อาหารเจ จึงเกิดขึ้นเนื่องมาจาก การถืออุโบสถศีล ของพุทธศาสนิกชน ฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ด้วยเหตุนี้ การกินอาหารเจ จึงไม่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ในปัจจุบันการกินเจ ถึงแม้ว่าจะรับประทานอาหาร ทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่รับประทานอาหาร ที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์อยู่ด้วยก็ยังเรียกว่า “กินเจ” ดังนั้น หากพุทธศาสนิกชนที่ ต้องการบำเพ็ญธรรม ด้วยการกินเจ ก็ต้องตั้งตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงามด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นการกินเจที่แท้จริงในการปรุงอาหารเจนั้น ต้องไม่มีเนื้อสัตว์ และต้องเป็นอาหารที่ปรุงมาจากพืชผักผลไม้ล้วนๆ ที่สำคัญ ต้องไม่มี ส่วนผสมของเครื่องเทศ 5 อย่าง ซึ่งได้แก่ หัวหอม กระเทียม กุ้ยฉ่าย หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน) และใบยาสูบ
การกินเจ ในปัจจุบันสามารถ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
•การกินเจในช่วงเทศการกินเจ จะมีระยะเวลา 9 วัน คือ ช่วงวันขึ้น 1 ค่ำจนกระทั่งถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินของชาวจีน ปัจจุบันจะมีผู้ที่นิยม กินเจในช่วงเทศการกินเจ เป็นจำนวนมาก จึงส่งผลให้ เกิดธุรกิจ การทำอาหารเจออกมาจำหน่าย มากมาย อีกทั้งยังได้ สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ตามที่รางกายของคนเราต้องการ อีกด้วย
•การกินเจ ที่มีการละเว้นหรือการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เป็นประจำทุกวัน ทั้ง 3 มื้อ
อาหารเจ
ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ
1.) พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุง และการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้
1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ
2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ
3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน
4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้
5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ
ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทยาก เช่น พวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม
ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง 5 สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์หลายๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก
2.) เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วแปลกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขา
ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้
ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้คบทุกสีจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น
เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง
ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน
1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ
2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต
3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม
4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ
5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด
ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอ
3.) การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี
4.) งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งานที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงานในปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
5.) ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้
รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด
6.) หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า
7.) เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน
นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ