10 สถานที่ในโลกซึ่งคุณไม่ควรจะไป(เหยียบ) อันดับที่ 10 Centralia, Pennsylvaniaคุณเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Silent Hill (เมืองห่าผี) ไหมครับ (ผมชอบคนวิจารณ์หนังเรื่องนี้ ที่เขาให้นิยามหนังนี้ว่า “หนังห่าอะไรว่ะ”) สิ่งที่หลายคนมักจดจำเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือฉากเมืองที่มีหมอกหรือ ควันอะไรสักอย่างปกคลุมจนมองข้างหน้าไม่เห็น หลายคนเห็นเมืองแบบนี้แล้วน่ากลัวไม่อยากจะไปเลย หากแต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า บนโลกแห่งนี้มีเมืองลักษณะแบบนี้อยู่ เมืองนี้มีชื่อว่า เซ็นทราเลีย รัฐเพนซิลวาเนีย สมัยก่อนเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน มีทั้งสถานีรถไฟ โบสถ์ โรงแรมห้าดาว โรงเรียน โรงละคร ธนาคาร ไปรษณีย์ และร้านค้าทั่วไป แต่แล้วในปี 1962 ได้ เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ในเมืองนี้ขึ้น โดยต้นเพลิงมาจากมีคนจุดไฟเผาขยะทิ้งไว้ในบ่อของเหมือง จากนั้นไฟได้ติดถ่านหิน และขยายวงกว้างจนคลุมพื้นที่ใต้ดินของบ้านเรือนทั้งหมด ไฟได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แม้มีการพยายามใช้เงินนับล้านในการดับไฟ แต่ก็ไม่เป็นผล และมันก็ยังไหม้อยู่จนทุกวันนี้ (นานกว่า 40 ปีเข้าไปแล้ว) หลายคนได้รับพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ ทั้งในอากาศและการปนเปื้อน รวมถึงการเกิดเหตุดินยุบลึกลงไปเป็นร้อยฟุต จนทางการต้องหาที่อยู่ใหม่แก่ชาวเมือง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีบางครอบครัวเลือกที่จะอยู่ต่อ และพวกเขาก็ยังอยู่ที่นั่น แม้ว่ารัฐเพนซิลวาเนียจะประกาศห้ามใช้ตึกทุกหลังในเมืองนั้น และกรมไปรษณีย์สหรัฐได้ยกเลิกรหัสพื้นที่ของที่นั่นก็ตาม ในปี 1981 เซ็นทราเลียมีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 1,000 ครัวเรือน แต่ปัจจุบันจำนวนลดจนแทบนับจำนวนคนได้ อันดับที่ 9 Dallolบางทีสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่สวยงามที่สุดใน 10 อันดับของเรา เพราะว่าดูจากภาพเราได้เห็นทิวทัศน์ที่แปลกตา มีสีสันมากมายไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีส้ม สีเขียว หรือสีแดง ซึ่ง เกิดจากเกลือร้อนๆ เดือดปุดๆ เป็นสถานที่ที่อยู่ทางเหนือของเอธิโอเปีย ในระดับสูง 50 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่เมืองผี (หมายถึงเมืองร้าง) สาเหตุพื้นที่แห่งนั้นใกล้ภูเขาไฟ ทำให้อุณหภูมิในพื้นที่นั่นร้อนเกินไป ไม่เหมาะจะเป็นสถานที่อยู่อาศัย นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ห่างไกลที่สุดในโลก ถนนก็ไม่มี การขนส่งต้องไปทางบกโดยใช้อูฐของคาราวาลเท่านั้นเพื่อไปเก็บเกลือซึ่งมีอยู่ เต็มในบริเวณนั้น แม้ครั้งหนึ่งที่แห่งนี้เคยมีรางรถไฟหากแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันก็ถูกปิดตัวลงเนื่องจากมีเส้นทางการค้าที่ดีกว่ามาทดแทนส่วนสาเหตุสถานที่แห่งนี้ไม่ควรไปเนื่องจากมันตั้งอยู่ใกล้ชายแดนที่มีความ ขัดแย้ง ในหลายปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวที่พยายามจะเป็นสถานที่แห่งนี้มักถูกกลุ่ม โจรทำอันตรายอยู่บ่อยครั้ง แต่หากคุณอยากจะไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้จริงๆ คุณจำเป็นต้องมียานพาหนะติดอาวุธไปด้วย
อันดับที่ 8 Hanford Siteแฮนฟอร์ด สถานที่แห่งนี้อยู่ในภาคใต้ของวอชิงตัน อเมริกา อดีตเคยเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดเล็ก ก่อนที่ในปี 1943 พื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในโครงการแมนฮัตตัน ในการผลิตพลูโตเนียมเพื่อใช้ในโรงงานนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดในสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 และในช่วงสงครามเย็น และเนื่องด้วยผลิตพลูโตเนียมมากเกินไป ทำให้ของเสียกากกัมตภาพรังสีออกมามีจำนวนมากจนทางรัฐบาลไม่มีแผนจะจัดการสาร ดังกล่าว จนเป็นเหตุทำให้พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยการปนเปื้อนกากกัมตภาพรังสีและปน เปื้อนระบบนิเวศในอากาศ ทำให้มีประชาชนพื้นที่แห่งนี้ได้รับสารก่อมะเร็งและสารพิษหลายราย อันดับที่ 7 Dzerzhinskเมืองเดอร์ซินสค์ เป็นเมืองที่อยู่ในรัสเซีย ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Oka อยู่ไม่ไกลจากทางตะวันออกของกรุงมอสโกประมาณ 400 กิโลเมตร เมืองนี้ก่อตั้งเมื่อปี 1920 ตามนายเฟลิกซ์ เซียรชินสค์ หัวหน้าหน่วยเคจีบีคนแรก (ในสมัยก่อนเรียกหน่วยนี้ว่า หน่วย เชก้า ) จุดเริ่มต้นที่เมืองนี้กลายเป็นสถานที่น่ากลัวเริ่มขึ้นเมื่อปี 1941 (จนถึงปัจจุบัน) โดยปี 1941 ก่อนจะถึงในสมัยสงครามเย็นนั้นเมืองแห่งนี้ได้กำหนดเป็นแหล่งผลิตอาวุธเคมี ชั้นนำของประเทศ ซึ่งอาวุธเคมีที่ว่าล้วนเป็นพิษและอันตรายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นไดออกซิน , สารหนู, ซาริน , เลวิไซต์ , ซัลเฟอร์มัสตาร์ด , ไฮโดรเจนไซยาไนด์ , ฟอสจีน และตะกั่ว รวมทั้งอินทรีย์เคมีอื่นๆ จนกระทั้งมีการหยุดผลิตสารพิษนี้ลง ก็ถึงคราวเกิดปัญหาเมื่อทางรัฐบาลไม่รู้จะจัดการสารพิษจำนวนมากนี้ได้อย่าง ไร ทำให้มีการจัดการแบบง่ายๆ คือเอาไปฝังดินหรือทิ้งลงแม่น้ำ ส่งผลทำให้มีสารตกค้างจนถึงทุกวันนี้ และประชากรนั้นเมืองนี้ป่วยและตายด้วยสารพิษตกค้างเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันเมืองแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางผลิตสารเคมีและได้ถูกระบุว่ามีระดับ มลภาวะที่เลวร้ายที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง น้ำประปาปนเปื้อน สารเคมีตกค้าง และเมืองแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวจากภายนอกเข้าชม
อันดับที่ 6 Dharaviเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย อยู่ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ที่หลายๆ เว็บบอกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เจาะลึกสภาพชีวิตของอินเดีย ชนิดที่เรียกว่าไม่ไปสถานที่แห่งนี้แสดงว่าคุณไม่ไปถึงอินเดียที่แท้จริง (ว่าไปนั้น อันนี้ผมเขียนเองน่ะ อย่าไปเชื่อ) สาเหตุที่ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ก็เพราะว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งทำเครื่องปั้นดินเผาและอุตสาหกรรมสิ่งทอ ส่วนสาเหตุที่แออัดก็ง่ายมากอินเดียเป็นประเทศที่ประชากรมากอันดับต้นๆ ของโลก แต่คุณภาพชีวิตประชาชนต่ำ ดังนั้นพวกเขาเลยแห่ไปยังเมืองหลวงเพื่อหางานทำ แต่ว่าเมืองมุมไบที่กินที่อยู่แพงเหลือเกิน ดังนั้นสลัมจึงเป็นทางเลือกที่ดี โดยค่าเช่าคิดเพียง 185 รูปี(4 เหรียญสหรัฐ) ต่อเดือนเท่านั้น Dharavi เป็นพื้นที่สลัมที่มีประชากรเกินกว่าหนึ่งล้านคน แออัดในพื้นที่ 2.2 ตร.กม. สภาพแวดล้อมที่นั้นสกปรกและแออัดอย่างร้ายกาจ อีกทั้งผู้คนในที่แห่งนี้ดูแล้วไม่เป็นมิตร บรรยากาศเหมือนบอกว่านี้ไม่ใช่สถานที่ที่นักท่องเที่ยวมาเดินน่ะเฟ้ย พื้นที่ส่วนใหญ่รถเข้ามาไม่ได้ ระบบระบายน้ำก็ดีมากชนิดว่าฝนตกเมื่อไหร่น้ำท่วมเมื่อนั้น และปี 2006 มีสถิติน่าสนใจคือห้องน้ำสาธารณะในพื้นที่แห่งนี้หนึ่งห้องต้องรองรับคนกว่า 1440 คนต่อวัน(คงไม่ต้องถามว่าสกปรกไหม) ผลคือเมืองแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยปัสสาวะและสิ่งปฏิกูลต่างๆ นำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคติดต่อ และพื้นที่แห่งนี้ได้ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง Slumdog (2008) ด้วยน่ะ อันดับที่ 5 Linfenเมืองเทียนหยิง อยู่ในมณฑลอานฮุย ทางภาคใต้ของสาธารณรัฐ ประชาชนจีน เมืองแห่งนี้มีประชากรกว่า 4.2 ล้านคน และเมืองแห่งถูกอ้างเสมอว่าเป็นเมืองที่สกปรกที่สุดในโลก โดยมลพิษแห่งนี้ปกคลุมอยู่ทั่วเมืองเสมือนหมอกควัน สาเหตุมลพิษเหล่านั้นมา จากการเผาไหม้ของถ่านหินโรงงานไฟฟ้า และโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นต่ำที่ผิดกฎหมายมาใช้ในการผลิตแม้ว่าเมืองแห่งนี้จะถูกกดดันจากสื่อและหน่วยงานด้านแวดล้อมแล้วก็ตาม แต่กระนั้นจนถึงปัจจุบันเมืองแห่งนี้ก็ยังคงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษสาร ตะกั่วและโลหะหนักเหมือนเดิม ชาวจีนที่อาศัยอยู่ที่นี้จะต้องถูกบังคับให้สวมหน้ากากป้องกันจมูกตลอดวัน มีรายงานว่าบางวันควันปกคลุมหนาแน่นมากจนมีบางเวลาที่คุณไม่เห็นมือของตนเอง เวลาจะสัญจรด้วยรถจะต้องเปิดไฟตลอดเวลา และเด็กในเมืองนี้ป่วยเพราะสารพิษนี้เพิ่มขึ้นทุกปี อันดับที่ 4 Room 39เกาหลีเหนือ แน่นอนมันกลายเป็นสถานที่ที่คุณไม่อยากจะ ไปอีกแห่งของโลก ซึ่งเราไม่แนะนำให้คุณวางแผนไปท่องเที่ยวประเทศนี้ในวันหยุดแน่นอน ส่วนชื่อห้อง 39 นั้นเป็นชื่อสำนักงาน หรือหน่วยงานลับที่คาดว่าที่ทำการอยู่ที่เปียงยาง เกาหลีเหนือ ก่อตั้งในปี 1970 โดยมีวัตถุประสงค์ในการรักษาเงินและเพิ่มเงินในกระเป๋าของท่านผู้นำคิม จอง อิล (เจ้าประจำ) โดยอย่างที่รู้กันว่าประเทศเกาหลีเหนือเป็นประเทศสันโดษ ความเป็นอยู่ในสภาพอดอยาก ประชาชนเป็นอยู่อย่างยากแค้น ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาหลายด้าน ทำให้ท่านผู้นำไม่สามารถหาเงินหรือใช้เงินได้สะดวก ดังนั้นองค์กรนี้จึงได้ตั้งขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะ โดยคาดว่าเงินในกระเป๋าของผู้นำนี้มีเงินกว่า 5,000,000,000 ดอลลาร์ องค์กรนี้จะทำวิธีไหนก็ได้เพื่อรักษาเงินหรือเพิ่มเงินให้ดีที่สุด เช่น ฟอกเงิน ตั้งกองทุนปลอม ปลอมแปลงเงิน ทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น ค้าอาวุธ ลักลอบขนยาเสพย์ติด และนอกจากนี้องค์กรนี้ยังมีอำนาจในการใช้เงินเพื่อสนับสนุนทางการเมืองและ สร้างอาวุธนิวเคลียร์ อันดับที่ 3 Mogadishuเป็นเมืองหลวง และใหญ่ที่สุดในโซมาเลีย ซึ่งเป็นประเทศแอฟริกาตะวันออก มีภูมิประเทศติดกับชายฝั่งทะเลในมหาสมุทรอินเดียที่ทำหน้าที่เป็นเมืองท่า สำคัญมานานหลายศตวรรษ หากแต่ในปี 1990 เมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนบัดดล เมื่อกองกำลังกบฏที่นำโดยผู้นำทัพ โมฮาหมัด ฟาราห์ ไอดิค (Mohamed Farrah Aidid) ยึดเมืองเป็นฐานที่มั่น ส่งผลให้บ้านเมืองไม่มีกฎหมาย ประชากรอดอยาก สหประชาชาติและอเมริกาเข้ามาแก้ปัญหาจนเกิดสงครามกลางเมือง ทุกวันนี้โซมาเลียกลายเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีเสถียรภาพน้อยที่สุดในโลก เพราะประเทศนี้ไม่มีรัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับ ประชาชนอดอยากขาดโปรตีน ถนนหลายสายชำรุด อาคารหลายหลังถูกทำลายเนื่องจากโดนระเบิดใจกลางเมือง โจรสลัดระบาดโจมตีเรือที่ผ่านบริเวณนี้ทุกปี กองโจรมุสลิมปกครองด้วยกฎหมายศาลเตี้ย นอกจากนี้ยังมีการระเบิดฆ่าตัวตาย จนมีประกาศว่านักท่องเที่ยวที่จะมาประเทศโซมาเลียให้เว้นระยะห่างจากเมืองหลวง (จะไปทำไมเนี้ย) อันดับที่ 2 Cite Soleilเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นตั้งอยู่ในเขตเมืองไฮติ มีการประเมินว่ามีคนกว่า 200,000 -300,000 คนอาศัยในพื้นที่แห่งนี้ และนี้คือสถานที่แออัดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และยังเป็นหนึ่งในสถานที่อันตรายของโลก มันไม่มีท่อระบายน้ำ ไม่มีร้านค้าใดๆ ไม่มีตำรวจ หรือไฟฟ้า หลังจากเกิดรัฐประหารในปี 1991 ประชาชนถูกเข้าสู่วงจรแห่งความยากจน ความว่างงานอยู่ในอัตราสูง ประชากรไม่รู้หนังสือ นอกจากนี้ยังเกิดสภาวะแก๊งติดอาวุธครองเมือง ในปี 2004 เจ้าหน้าที่สหประชาชาติพยายามควบคุมพื้นที่หากแต่มันก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2010 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของไฮติ ส่งผลทำให้ประชาชนกว่า 230,000 ล้านคน 230,000 คนเสียชีวิต และประชากรไฮติกว่าหนึ่งล้านคนไม่มีที่อยู่อาศัย ทำให้สถานที่สลัมแห่งนี้ยิ่งทวีความเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เกิดอาชญากรรม แก๊งติดอาวุธเริ่มออกอาละวาดทั้งลักพาตัวปล้นจี้ ผู้คนส่วนใหญ่ในสลัมส่วนมากเป็นเด็กและเยาวชน และมีไม่กี่คนที่รอดจนถึงอายุ 50 ส่วนมากเสียชีวิตเพราะโรคเอดส์ โรคร้าย หรือความรุนแรง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งค้ามนุษย์ สมาชิกก่อการร้าย นักโทษหนีจากคุก มันเป็นสถานทีน่ากลัวมากขนาดตำรวจไฮติยังไม่กล้าเข้าไปในนั้น อันดับที่ 1 Orangi Townเมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยของผู้อพยพใน ตะวันตกเฉียงเหนือของการาจี ประเทศปากีสถาน มันมีขนาดใหญ่กว่าสลัมในเมืองมุมไบ แต่มีความหนาแน่นน้อยกว่า และองค์ประกอบหลายส่วนไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่านี้คือสลัม (เพราะส่วนใหญ่คนที่อยู่อาศัยเป็นชนชั้นกลาง) ประชากรที่นี้ มีประมาณ 2.5 ล้านคน (แม้ทางภาครัฐจะบอกว่า 200,000 คน) เป็นมุสลิมกับชนกลุ่มน้อยจำนวนมากหลากหลายวัฒนธรรม ส่งผลให้เมืองแห่งนี้ประสบปัญหาความขัดแย้งชาติพันธุ์ แม้ว่าจะมีโครงการนำร่องในการให้ความรู้และการพัฒนาสร้างท่อส่งน้ำ ถนน และคลีนิก แต่อย่างไรก็ดีหลังจากสงครามอัฟกานิสถาน ทำให้มีผู้อพยพมาจำนวนมาก ความรุนแรงของสองเชื้อชาติ(ปากีสและอัฟกัน) ธุรกิจจำนวนมากปิดตัวลง ถนนถูกทิ้งร้าง ผู้คนต้องอาศัยอยู่แต่ในบ้านความรุนแรง การข่มขืน เหตุระเบิดฆ่าตัวตาย ลักพาตัว และการสังหารกลายเป็นเรื่องปกติของที่นี้ ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดของโลกในที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก
Anonymous wrote:ຊ່ອຍອະທິບາຍສັງ"ຄວາມອູ້"ໃຫ້ຟັງແດ່, ຂອບໃຈ. ຮູບນີ້ແມ່ນ ຖ່າຍຢູ່ໃນເມືອງ Centrallia ຣັຖ Pennsylvania ແຕ່ປານນັ້ນ ພວກຖ່າຍໜັງຍັງບໍ່ຢ້ານ.
ຊ່ອຍອະທິບາຍສັງ"ຄວາມອູ້"ໃຫ້ຟັງແດ່, ຂອບໃຈ. ຮູບນີ້ແມ່ນ ຖ່າຍຢູ່ໃນເມືອງ Centrallia ຣັຖ Pennsylvania ແຕ່ປານນັ້ນ ພວກຖ່າຍໜັງຍັງບໍ່ຢ້ານ.
ອັນນີ້ຢູ່ໃສກັນ ເປັນຕາຢ້ານແທ້
Anonymous wrote:Anonymous wrote:ຊ່ອຍອະທິບາຍສັງ"ຄວາມອູ້"ໃຫ້ຟັງແດ່, ຂອບໃຈ. ຮູບນີ້ແມ່ນ ຖ່າຍຢູ່ໃນເມືອງ Centrallia ຣັຖ Pennsylvania ແຕ່ປານນັ້ນ ພວກຖ່າຍໜັງຍັງບໍ່ຢ້ານ. ອັນນີ້ຢູ່ໃສກັນ ເປັນຕາຢ້ານແທ້
Are you sure that's the photo of the coal hole in Centralia, PA. Not that big. That's maybe somewhere in South America.
Anonymous wrote:Anonymous wrote:Anonymous wrote:ຊ່ອຍອະທິບາຍສັງ"ຄວາມອູ້"ໃຫ້ຟັງແດ່, ຂອບໃຈ. ຮູບນີ້ແມ່ນ ຖ່າຍຢູ່ໃນເມືອງ Centrallia ຣັຖ Pennsylvania ແຕ່ປານນັ້ນ ພວກຖ່າຍໜັງຍັງບໍ່ຢ້ານ. ອັນນີ້ຢູ່ໃສກັນ ເປັນຕາຢ້ານແທ້Are you sure that's the photo of the coal hole in Centralia, PA. Not that big. That's maybe somewhere in South America.
ໄດ້ຍິນຄົນຊ່າແລະເລົ່າຂານກັນທຸກມື້ນີ້ແມ່ນແທ້ບໍ ວ່າເກີດດິນຍຸບລົງເລິກ 50m ຢູ່ພາກໃຕ້ຂອງປະເທດລາວ
Anonymous wrote:Anonymous wrote:Anonymous wrote:Anonymous wrote:ຊ່ອຍອະທິບາຍສັງ"ຄວາມອູ້"ໃຫ້ຟັງແດ່, ຂອບໃຈ. ຮູບນີ້ແມ່ນ ຖ່າຍຢູ່ໃນເມືອງ Centrallia ຣັຖ Pennsylvania ແຕ່ປານນັ້ນ ພວກຖ່າຍໜັງຍັງບໍ່ຢ້ານ. ອັນນີ້ຢູ່ໃສກັນ ເປັນຕາຢ້ານແທ້Are you sure that's the photo of the coal hole in Centralia, PA. Not that big. That's maybe somewhere in South America. ໄດ້ຍິນຄົນຊ່າແລະເລົ່າຂານກັນທຸກມື້ນີ້ແມ່ນແທ້ບໍ ວ່າເກີດດິນຍຸບລົງເລິກ 50m ຢູ່ພາກໃຕ້ຂອງປະເທດລາວ
ເຈັ້າຮູ້ຂ່າວມາແຕ່ໃສ່ ຂ້ອຍຢູ່ໃຕ້ ຂ້ອຍຍັງບໍ່ຮູ້
Anonymous wrote:ເຈັ້າຮູ້ຂ່າວມາແຕ່ໃສ່ ຂ້ອຍຢູ່ໃຕ້ ຂ້ອຍຍັງບໍ່ຮູ້ ຂ້ອຍບໍ່ໄດ້ຢູ່ໃຕ້ ແຕ່ຂ້ອຍເຄີຍໄດ້ອ່ານຂ່າວວ່າມີແຜ່ນດິນເຈື່ອນ ແຜ່ນດິນຫລົ່ມຢູ່ໃນເຂດແຂວງອັດຕະປືຕອນພະຍຸເກດສະນາ ເຂົ້າມາໃນປີ2009. ກົດອ່ານເອົາເອງເດີຖ້າມີເວລາ. ຢູ່ທາງ ພາກເໜືອ ເຊັ່ນຫົວພູເລີຍກໍ່ມີດິນເຈື່ອນເລື້ອຍຍ້ອນການຕັດໄມ້ ທໍາລາຍປ່າ, ຍາມຝົນມາກໍ່ເຮັດໃຫ້ດິນເຈື່ອນລົງຢ່າງຫລວງ ຫລາຍ ໜັງສືພິມວຽງຈັນໃໝ່ກໍ່ເອົາມາອອກຂ່າວແຕ່ເຈົ້າຄົງບໍ່ ໄດ້ອ່ານຕິເບາະ? http://202.62.97.92/teen/khao/1/3427
ຂ້ອຍບໍ່ໄດ້ຢູ່ໃຕ້ ແຕ່ຂ້ອຍເຄີຍໄດ້ອ່ານຂ່າວວ່າມີແຜ່ນດິນເຈື່ອນ ແຜ່ນດິນຫລົ່ມຢູ່ໃນເຂດແຂວງອັດຕະປືຕອນພະຍຸເກດສະນາ ເຂົ້າມາໃນປີ2009. ກົດອ່ານເອົາເອງເດີຖ້າມີເວລາ. ຢູ່ທາງ ພາກເໜືອ ເຊັ່ນຫົວພູເລີຍກໍ່ມີດິນເຈື່ອນເລື້ອຍຍ້ອນການຕັດໄມ້ ທໍາລາຍປ່າ, ຍາມຝົນມາກໍ່ເຮັດໃຫ້ດິນເຈື່ອນລົງຢ່າງຫລວງ ຫລາຍ ໜັງສືພິມວຽງຈັນໃໝ່ກໍ່ເອົາມາອອກຂ່າວແຕ່ເຈົ້າຄົງບໍ່ ໄດ້ອ່ານຕິເບາະ? http://202.62.97.92/teen/khao/1/3427
ແມ່ນແທ້ໆ ລືມແລ້ວບໍ ຕອນມີລາງສັງຫອນຕົ້ນໄມ້ມະນີໂຄດລົ້ມນັ້ນ
ສະແດງວ່າເປັນຄວາມຈິງອອກມາແລ້ວ ສະພໍເຂົາເຈົ້າເຊື່ອເຫດເຊື່ອລາງ
Anonymous wrote:Anonymous wrote:ເຈັ້າຮູ້ຂ່າວມາແຕ່ໃສ່ ຂ້ອຍຢູ່ໃຕ້ ຂ້ອຍຍັງບໍ່ຮູ້ ຂ້ອຍບໍ່ໄດ້ຢູ່ໃຕ້ ແຕ່ຂ້ອຍເຄີຍໄດ້ອ່ານຂ່າວວ່າມີແຜ່ນດິນເຈື່ອນ ແຜ່ນດິນຫລົ່ມຢູ່ໃນເຂດແຂວງອັດຕະປືຕອນພະຍຸເກດສະນາ ເຂົ້າມາໃນປີ2009. ກົດອ່ານເອົາເອງເດີຖ້າມີເວລາ. ຢູ່ທາງ ພາກເໜືອ ເຊັ່ນຫົວພູເລີຍກໍ່ມີດິນເຈື່ອນເລື້ອຍຍ້ອນການຕັດໄມ້ ທໍາລາຍປ່າ, ຍາມຝົນມາກໍ່ເຮັດໃຫ້ດິນເຈື່ອນລົງຢ່າງຫລວງ ຫລາຍ ໜັງສືພິມວຽງຈັນໃໝ່ກໍ່ເອົາມາອອກຂ່າວແຕ່ເຈົ້າຄົງບໍ່ ໄດ້ອ່ານຕິເບາະ? http://202.62.97.92/teen/khao/1/3427 ແມ່ນແທ້ໆ ລືມແລ້ວບໍ ຕອນມີລາງສັງຫອນຕົ້ນໄມ້ມະນີໂຄດລົ້ມນັ້ນສະແດງວ່າເປັນຄວາມຈິງອອກມາແລ້ວ ສະພໍເຂົາເຈົ້າເຊື່ອເຫດເຊື່ອລາງ
My god !!!!!
Anonymous wrote:Anonymous wrote:Anonymous wrote:ເຈັ້າຮູ້ຂ່າວມາແຕ່ໃສ່ ຂ້ອຍຢູ່ໃຕ້ ຂ້ອຍຍັງບໍ່ຮູ້ ຂ້ອຍບໍ່ໄດ້ຢູ່ໃຕ້ ແຕ່ຂ້ອຍເຄີຍໄດ້ອ່ານຂ່າວວ່າມີແຜ່ນດິນເຈື່ອນ ແຜ່ນດິນຫລົ່ມຢູ່ໃນເຂດແຂວງອັດຕະປືຕອນພະຍຸເກດສະນາ ເຂົ້າມາໃນປີ2009. ກົດອ່ານເອົາເອງເດີຖ້າມີເວລາ. ຢູ່ທາງ ພາກເໜືອ ເຊັ່ນຫົວພູເລີຍກໍ່ມີດິນເຈື່ອນເລື້ອຍຍ້ອນການຕັດໄມ້ ທໍາລາຍປ່າ, ຍາມຝົນມາກໍ່ເຮັດໃຫ້ດິນເຈື່ອນລົງຢ່າງຫລວງ ຫລາຍ ໜັງສືພິມວຽງຈັນໃໝ່ກໍ່ເອົາມາອອກຂ່າວແຕ່ເຈົ້າຄົງບໍ່ ໄດ້ອ່ານຕິເບາະ? http://202.62.97.92/teen/khao/1/3427 ແມ່ນແທ້ໆ ລືມແລ້ວບໍ ຕອນມີລາງສັງຫອນຕົ້ນໄມ້ມະນີໂຄດລົ້ມນັ້ນສະແດງວ່າເປັນຄວາມຈິງອອກມາແລ້ວ ສະພໍເຂົາເຈົ້າເຊື່ອເຫດເຊື່ອລາງMy god !!!!!
ຂ້ອຍອ່ານເບິ່ງຂ່າວເຈົ້າ ເຂົາເວົ້າເຖິງດິນເຈື່ອນຢູ່ແຂວງຫລວງພະບາງ
ບໍ່ແມ່ນຢູ່ໃຕ້
ຂ້ອຍອ່ານເບິ່ງຂ່າວເຈົ້າ ເຂົາເວົ້າເຖິງດິນເຈື່ອນຢູ່ແຂວງຫລວງພະບາງບໍ່ແມ່ນຢູ່ໃຕ້